
อุตสาหกรรมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ไทยกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งภาวะการแข่งขันที่รุนแรง จนนำไปสู่สงครามราคาค่าธรรมเนียมที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น
ซ้ำเติมด้วยปริมาณการซื้อขาย ในตลาดหุ้นไทยที่หดตัวลงอย่างชัดเจน ตามสภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ไม่เอื้ออำนวย ส่งผลให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องดิ้นรนปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
สถานการณ์นี้น่ากังวลยิ่งขึ้นจากการเข้ามาของระบบการซื้อขายความถี่สูง หรือ High Frequency Trading (HFT) ที่เข้ามามีบทบาทและส่วนแบ่งการตลาดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่ม “นักลงทุนรายย่อย” ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ ทำให้สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยปรับลดลงจากในอดีตอย่างน่าใจหาย กลายเป็นโจทย์ใหญ่ให้โบรกเกอร์หลายแห่งต้องทบทวนโมเดลธุรกิจใหม่
ท่ามกลางสมรภูมิที่กำลังเดือดนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะหนึ่งในผู้นำตลาดลูกค้ารายย่อยมาอย่างยาวนาน ได้ออกมาประกาศ "ปรับทัพ" ครั้งใหญ่ เพื่อฝ่าวงล้อมความท้าทาย
โดยประกาศจุดยืนชัดเจนว่า "จะไม่ร่วมวง HFT" แต่จะมุ่งสร้างการเติบโตผ่านการยกระดับบริการที่ปรึกษาการลงทุน ขยายผลิตภัณฑ์ และรุกธุรกิจใหม่ เพื่อก้าวข้ามปัญหาค่าคอมฯ แข่งเดือดและปริมาณซื้อขายหด พร้อมตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิแตะระดับ 1,000 ล้านบาทให้ได้ในอนาคต
อารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุถึงผลกระทบของ HFT ว่า ได้ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยลดลงอย่างมาก ซึ่งยังคงเป็นคำถามว่า HFT ดีต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทยจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีแผนที่จะให้บริการระบบ HFT ในขณะนี้ เนื่องจากมองว่าต้องใช้เงินลงทุนสูง และมีอัตรากำไร (Margin) ที่ค่อนข้างต่ำ แต่ยังคงยืนยันว่า หากไม่นับรวมการซื้อขายผ่านระบบ HFT บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ยังคงมีส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มลูกค้ารายย่อย
ในยุคที่ค่าธรรมเนียมลดต่ำลงและการแข่งขันสูง บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ประกาศกลยุทธ์ในการยกระดับบทบาทจาก "โบรกเกอร์" ที่เน้นการทำธุรกรรม ไปสู่การเป็น "พาร์ทเนอร์ทางการเงิน" ที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้า
อารภัฏ กล่าวว่า เป้าหมายคือการเป็น บล. ที่เมื่อลูกค้าเดินเข้ามา "เรามีทุกอย่างในการให้บริการ" ที่เหมาะสมที่สุด พร้อมคำแนะนำการลงทุนที่ถูกต้อง โดยหนึ่งในแกนสำคัญคือการผลักดัน "Democratized Investment" หรือการทำให้การลงทุนเป็นเรื่องที่คนไทยเข้าถึงได้ในวงกว้าง
ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนที่มีสินทรัพย์สูง (High Net Worth) หรือนักลงทุนรุ่นใหม่ โดยยังคงรักษาจุดยืนการเป็น "Boutique Financial Advisory" ที่เน้น High Touch ให้คำปรึกษาเชิงลึกและตอบโจทย์ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล
เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว เมย์แบงก์ได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องใน 3 มิติหลัก
1.ด้านบุคลากร - ให้ความสำคัญกับลูกค้ารายย่อย โดยมีการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญและบุคคลากรเก่งๆ เข้ามาเสริมทัพ ทั้งฝ่ายวิจัย (Research) และฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน (Strategy) เพื่อให้คำแนะนำที่แม่นยำ พร้อมตั้งเป้าขยายทีมที่ปรึกษาการลงทุน (Investment Consultants) ให้ครบกว่า 500 คน
นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายใหญ่ในการทำบทวิจัยให้ครอบคลุมหุ้นในตลาดหุ้นไทยให้ได้ 90% ของมูลค่าตลาดรวม (Market Cap) ภายในปี 2569
2.ด้านเทคโนโลยี - พัฒนาระบบและด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นว่าแอปพลิเคชันของบริษัทจะสามารถแข่งขันและตอบโจทย์ผู้ลงทุนได้ นอกจากนี้ ยังมีการนำข้อมูล (Data) ของลูกค้ามาใช้เพื่อช่วยจัดพอร์ตการลงทุนตาม Profile และระดับความเสี่ยงที่ลูกค้ารับได้ เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุด
3.ด้านผลิตภัณฑ์ - ขยายผลิตภัณฑ์และโซลูชันการลงทุนให้ครบวงจร ตอบโจทย์การกระจายความเสี่ยง ทั้งในและต่างประเทศ เช่น กองทุนรวม, หุ้นต่างประเทศ, DR, DW และตราสารอนุพันธ์ โดยมี CIO Office ทำหน้าที่วิเคราะห์สินทรัพย์ที่ไม่ใช่หุ้นโดยเฉพาะ เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างรอบด้าน
เนธิตา กระบวนรัตน์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายบริหารการลงทุน กล่าวว่า ทีมที่ปรึกษาการลงทุนคือกลไกสำคัญ และการผสานความสะดวกสบายของดิจิทัล (ข้อมูลเรียลไทม์, เครื่องมือวิเคราะห์) เข้ากับความเชี่ยวชาญของทีมที่ปรึกษา จะทำให้เมย์แบงก์สามารถมอบประสบการณ์ที่ครอบคลุมทั้งความรวดเร็ว ความแม่นยำ และความเป็นส่วนตัว
แม้ลูกค้ารายย่อยจะมีความสำคัญ แต่ลูกค้าสถาบันก็เป็นอีกแกนที่เมย์แบงก์มุ่งเน้น โดยบริษัทเตรียมเปิดธุรกิจใหม่ คือ Private Fund (กองทุนส่วนบุคคล) ภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งบริษัทมีใบอนุญาต (Licence) อยู่แล้ว และอยู่ระหว่างการขอ activate จาก ก.ล.ต. อีกครั้ง โดยมีโอกาสที่จะขยายไปสู่ธุรกิจ บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) เมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมออกผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ คือ Secondary Market Bond (ตลาดรองตราสารหนี้) ซึ่งจะเริ่มต้นกับพันธบัตรไทยก่อน คาดว่าจะสามารถให้บริการได้ภายในปี 2568 นี้เช่นกัน โดยจะเป็นการจับคู่การซื้อขายแบบ OTC (Over-the-Counter)
อย่างไรก็ดี กระแสการลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทยกำลังมาแรงอย่างชัดเจน โดย "DR" (Depositary Receipt) หรือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่ง เมย์แบงก์ จะมีความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง KTB ซึ่งเป็นผู้ออกหลักทรัพย์รายใหญ่ต่อไป
อารภัฏ เปิดเผยว่า แม้แนวโน้มปริมาณการซื้อขายในตลาดโดยรวมจะลดลง และอุตสาหกรรมเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันด้านค่าธรรมเนียม แต่ บล.เมย์แบงก์ ยังสามารถสร้างการเติบโตได้ โดยกำไรยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความสำเร็จจากการขยายฐานรายได้ไปยังช่องทางอื่น
ด้วยทิศทางดังกล่าว บริษัทได้ตั้งเป้าหมายระยะยาว โดยมุ่งผลักดันให้กำไรสุทธิแตะระดับ 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2030 ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ทำได้ 462.13 ล้านบาท และผลประกอบการครึ่งแรกของปีนี้ (2568) ที่ทำได้ 133.88 ล้านบาท
ส่วนประเด็นด้าน Virtual Bank นั้น อารภัฏ มองว่า บริษัทมีความสนใจหากสามารถต่อยอดการให้บริการลูกค้าได้มากขึ้น แต่ยอมรับว่าในปัจจุบันยังไม่ถึงเวลา
สำหรับมุมมองต่อภาวะตลาดทุน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ประเมินว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งภายในปีนี้ (2568) โดยประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2568 ไว้ที่ 1,290 จุด และขยับขึ้นเป็น 1,370 จุด ในปี 2569 บนสมมติฐานที่กำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดเติบโตได้ 6% และซื้อขายที่ระดับ P/E 14.5 เท่า
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้