
ตลาดหุ้นไทยร่วงหนักเสียอย่างนั้น! แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้เป๊ะๆ แต่บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (18 ก.ย.) กลับไม่สดใสอย่างที่คิด สวนทางความคาดหวังของนักลงทุนที่รอข่าวดีนี้มานาน
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนภาพ "Sell on Fact" อย่างชัดเจน นักลงทุนอาจได้ซึมซับความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ไปจนหมดแล้ว ประกอบกับท่าทีของประธานเฟดที่ยังคงกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และปิดโอกาสการลดดอกเบี้ยแบบแรงๆ ก็อาจทำให้นักลงทุนบางส่วนเลือกที่จะ "ขายทำกำไร" ออกมาก่อน
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดระยะสั้นจะผันผวนและเผชิญแรงเทขาย แต่สิ่งที่นักวิเคราะห์กำลังโฟกัส ไม่ใช่การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ แต่เป็น "สัญญาณในอนาคต" ที่เฟดส่งออกมา นั่นคือ "Dot Plot" ที่บ่งชี้ว่า อาจมีการลดดอกเบี้ยอีกถึง 2 ครั้งภายในปีนี้ ซึ่งนี่จะเป็นแม่เหล็กดึงดูด Fund Flow ให้ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป
เมื่อคืนที่ผ่านมา คณะกรรมการ FOMC มีมติ 11 ต่อ 1 เสียง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่กรอบ 4.00-4.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
เจอโรม พาวเวลล์ ให้เหตุผลหลักว่า ตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณอ่อนตัวลง จึงจำเป็นต้องปรับนโยบายเพื่อช่วยประคองไม่ให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เขายังคงย้ำว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมาย จากแรงกดดันหลายปัจจัย และยืนยันว่าจะตัดสินใจนโยบายโดยยึดตามข้อมูลที่เข้ามา โดยไม่มีการแทรกแซงทางการเมือง
แม้ตลาดจะตีความท่าทีของพาวเวลล์ว่าค่อนข้างระมัดระวัง แต่ "Dot Plot" ฉบับใหม่กลับส่งสัญญาณที่ "ผ่อนคลาย" ชัดเจนกว่าที่คาด โดยคณะกรรมการเฟดส่วนใหญ่ประเมินว่า
แม้ภาพรวมจะเป็นบวก แต่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,295-1,315 จุด โดยการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่เป็นการ "ประคอง" ตลาดแรงงาน อย่างไรก็ตาม ด้วย Valuation ของ SET ที่เริ่มสูง (Forward PE 14.5 เท่า) อาจจำกัด Upside ในระยะสั้น
ขณะที่ ฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มองว่า การที่เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้เด่นชัดกว่าธนาคารกลางอื่นๆ ในช่วงที่เหลือของปี จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ เม็ดเงินไหลออกจากตลาดตราสารหนี้เข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักคือภูมิภาคเอเชีย
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ระบุว่า ผลการประชุมลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่กรอบ 4.00-4.25% ตามคาด อย่างไรก็ดี ยังคงแนะเกาะติดตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงถัดไป เพื่อเป็นแนวทางกำหนดนโยบายเพิ่มเติม ดังนั้นคาดระยะสั้นอาจเห็น sell on fact บ้าง แต่ก็คงไม่รุนแรงมาก
ท่ามกลางบรรยากาศที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงสวนข่าวดีจากเฟด นักลงทุนหลายคนอาจกำลังสับสนว่าจะวางกลยุทธ์อย่างไรต่อ "ขายก่อน" หรือ "ซื้อสวน" แต่ในมุมมองของนักวิเคราะห์ นี่คือจังหวะในการ "เลือกซื้อ" หุ้นเข้าพอร์ต
โดยแต่ละสำนักต่างก็มีมุมมองและธีมการลงทุนที่น่าสนใจแตกต่างกันไป เพื่อรับมือกับภาวะตลาดที่ยังผันผวน แต่มีแนวโน้มเชิงบวกในระยะถัดไปจากการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งของเฟด ดังนี้
บล.ลิเบอเรเตอร์ มองกลยุทธ์ซื้อเมื่ออ่อนตัว เน้นกลุ่มอิงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ เช่น ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, ท่องเที่ยว, สื่อสาร และโรงพยาบาล เป็นต้น โดยเฉพาะเน้นหุ้นที่คาดกำไรครึ่งปีหลังเด่น โดยวันนี้แนะสะสม “ADVANC”
ด้าน บล.พาย มองว่าด้วย Valuation SET ที่เริ่มสูง (Forward PE 14.5 เท่า) จึงไม่ได้คาดหวัง Upside ที่เยอะมากจากนี้ เชิงกลยุทธ์การลงทุนเน้นเป็นเพียงระยะสั้นและเลือกหุ้นที่ยังปรับข้ึนน้อย อาทิส่งออก (ITC TU) ท่องเที่ยว (MINT) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) และนิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) เป็นต้น
บล.เอเซีย พลัส มองว่า กลยุทธ์การลงทุนในยามที่ดอกเบี้ยสหรัฐลงเร็วและแรงกว่าประเทศ อื่นๆ แนะนำหุ้นปันผลเด่น อย่าง ICHI TISCO CPF AP PTT WHA ADVANC BDMS เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าแม้กลยุทธ์ของโบรกเกอร์จะมีความแตกต่างกัน ดังนั้น นักลงทุนจึงควรเลือกกลยุทธ์และกลุ่มหุ้นที่สอดคล้องกับสไตล์การลงทุนและความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ และอย่าลืมศึกษาข้อมูลให้รอบครอบก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย…
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้