
ปัจจุบันโลกการลงทุนกำลังเกิดการ "เคลื่อนย้าย" เงินทุนครั้งใหญ่ จุดเริ่มต้นสำคัญมาจากสัญญาณการ "ลดดอกเบี้ย" ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งส่งผลกระทบเป็นโดมิโน ทั้งทำให้เงินดอลลาร์เริ่มอ่อนลง และ "พันธบัตร" ที่เคยให้ผลตอบแทนสูงในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น เริ่มหมดเสน่ห์ลง
ปรากฏการณ์นี้ทำให้เม็ดเงินลงทุนมหาศาลทั่วโลก เริ่มไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย และหันหน้าเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอย่าง "ตลาดหุ้น" โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย และ "ตลาดหุ้นไทย" ก็คือหนึ่งในเป้าหมายหลักที่ได้รับอานิสงส์นี้อย่างชัดเจน
ไม่ใช่แค่เงินต่างชาติที่ไหลเข้า แต่ยังรวมถึง "สถาบันในประเทศ" (กองทุน) ที่เริ่มเทขายพันธบัตรแล้วโยกเงินเข้าตลาดหุ้นเช่นกัน บ่อยครั้งหลายคนอาจได้ยินคำว่า "หุ้นไทยยังถูก" คำถามคือ คำพูดนี้จริงแค่ไหน? "ถูก" เมื่อเทียบกับอะไร? และเราในฐานะนักลงทุน จะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างไร เพื่อให้มั่นใจว่านี่คือ "โอกาสทอง" ไม่ใช่การไล่ราคาตามกระแส
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในช่วงนี้ ไม่ได้มีแค่เงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่เริ่มไหลกลับเข้าตลาดเอเชียจากความหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าและสินทรัพย์เสี่ยงน่าสนใจขึ้น
แต่ยังมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนครั้งใหญ่ภายในประเทศเองด้วย โดยจะเห็นนักลงทุนสถาบันไทย "ขายบอนด์" ย้ายเข้า "ตลาดหุ้น" ซึ่งข้อมูลจาก บล.ทรีนีตี้ ชี้ให้เห็นภาพที่น่าสนใจว่า
จากข้อมูลอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยทุกรุ่น ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา เมื่อไปดูข้อมูลการซื้อขาย กลับพบว่าต่างชาติยังคง "ซื้อสุทธิ" ในตลาดพันธบัตร แต่นักลงทุนสถาบันในประเทศ มีการขายสุทธิหลักหมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นไปได้ว่ากำลังอยู่ในช่วง "ปรับพอร์ต"
และคาดว่าส่วนหนึ่งของเงินก้อนนี้ ถูกโยกย้ายเข้ามาในตลาดหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นที่มีลักษณะคล้ายพันธบัตร (Bond-like) เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) ที่จ่ายปันผลสูงและสม่ำเสมอ เช่น DIF, 3BBIF และ CPNREIT สังเกตได้จากแรงซื้อที่เข้ามาอย่างผิดปกติในหุ้นกลุ่มนี้
เหตุผลก็เพราะส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนปันผลของตลาดหุ้นกับผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในระดับสูงมานาน ทำให้หุ้นปันผลเหล่านี้มีความน่าดึงดูดใจมากเมื่อเทียบกับการถือพันธบัตร
ด้านฝ่ายวิจัยฯ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ตลาดหุ้นสะท้อนความคาดหวังการปรับลดดอกเบี้ยไปในระดับหนึ่งแล้ว นักลงทุนไทยเริ่มขายทำกำไรพันธบัตรไทยเช่นกัน ทั้งจากหลบความผันผวนในอดีต และยังเห็นนโยบายการคลังเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดย ช่วง 1 สัปดาห์ ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีปรับขึ้นสู่ระดับ 1.49% ทั้งนี้ มองหุ้นไทยยังมีแนวโน้มเดินหน้าต่อรับ เม็ดเงินไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยและโลก
ช่วงนี้เราจะได้ยินบ่อยมากว่า "หุ้นไทยถูก" "หุ้นไทย Laggard" หรือราคายังขึ้นไม่ทันเพื่อน จนกลายเป็นจุดสนใจที่ดึงเม็ดเงินต่างชาติให้ไหลกลับเข้ามา แล้วคำว่า "ถูก" ในโลกของหุ้นเนี่ย เขาวัดกันยังไง?
เวลาที่นักลงทุนเขาจะดูว่าหุ้น "ถูก" หรือ "แพง" เขาไม่ได้ใช้ความรู้สึก แต่มีเครื่องมือคลาสสิก 2 ตัวหลักๆ ที่เรียกว่า P/E และ P/BV
1. P/E (Price-to-Earnings Ratio) ตัววัดความคุ้มค่าเทียบ "กำไร" หรือง่ายๆ ว่า "ถ้าเราซื้อหุ้นตัวนี้ เราจะใช้เวลากี่ปีถึงจะได้กำไรคืนทุน" (ถ้าสมมติว่าบริษัททำกำไรได้เท่าเดิมทุกปี)
2. P/BV (Price-to-Book-Value Ratio) ตัววัดความคุ้มค่าเทียบ "สินทรัพย์" ซึ่งจะบอกเราว่า ราคาหุ้นที่เราจ่ายไป "แพงเป็นกี่เท่า" เมื่อเทียบกับ "มูลค่าทางบัญชี" ของบริษัท
สรุปแล้วหุ้นไทยถูกจริงไหม แค่รู้ P/E และ P/BV อย่างเดียวอาจยังไม่พอ เราต้อง "เปรียบเทียบ" ด้วย ซึ่งหลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 1,300 จุดแล้ว ข้อมูลล่าสุดจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (16 ก.ย. 68) บอกเราว่าตอนนี้
เมื่อเทียบกับอดีต P/E ปัจจุบันที่ 17.12 เท่า ถือว่า "ถูกกว่า" ค่าเฉลี่ย 3 ปีที่ผ่านมาที่เคยอยู่แถว 18.1 เท่า แต่เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน P/E ของเรา “ถูกกว่า” บางประเทศ แต่ก็ยัง "แพงกว่า" บางประเทศ ดังนั้น คำตอบคือ "ไม่แพง" แต่ก็ "ไม่ได้ถูกที่สุด"
ส่วนมุมมอง P/BV ที่ 1.24 เท่า ก็แปลว่าเรายังซื้อหุ้น "แพงกว่า" มูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่นิดหน่อย ไม่ได้ซื้อของที่ลดราคาต่ำกว่าทุน แต่เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นอย่างพันธบัตรที่ดอกเบี้ยกำลังจะลด หุ้นไทยที่ยังให้ปันผลดี จึงดูน่าสนใจขึ้นมาทันที
อย่าไรก็ตาม มุมมองจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พาย ระบุว่า ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะสั้นอาจมองเป็น จังหวะแบ่งทำกำไรบางส่วน เพิ่มการถือครองเงินสดด้วยมูลค่า (Valuation) ที่เริ่มสูงและให้น้ำหนัก (Price In) ข่าวดีไปพอสมควร
หากรับความเสี่ยงได้และเน้น Trading รายวัน เน้นเลือกหุ้นที่มีปัจจัยหนุน อาทิ การเงิน (MTC) อสังหาฯ (AP SPALI) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) พร้อมแนะรอสะสมหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปันผลสูง (SCB) แม้อาจกังวลกับดอกเบี้ยที่ปรับลงแต่เชื่อว่าผลกระทบเชิงกำไรจะจำกัด
สุดท้ายนี้ การดู P/E และ P/BV เป็นเพียง "จุดเริ่มต้น" ในการคัดกรอง หุ้นที่ P/E ต่ำอาจไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป (อาจกำลังมีปัญหาก็ได้) และหุ้น P/E สูงก็อาจจะยังไปต่อได้อีกไกลถ้ามีการเติบโตที่แข็งแกร่ง ก่อนตัดสินใจลงทุน อย่าลืมเจาะลึกไปที่ปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัทด้วย…
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้