
สิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามากที่สุดช่วงเวลานี้ คงหนีไม่พ้น "ดอกเบี้ยขาลง" สัญญาณชัดมาจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ดูเหมือนจะมีทิศทางนโยบายการเงินแล้ว หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ทั้งการจ้างงานเริ่มแผ่วลง และอัตราเงินเฟ้อก็ชะลอตัวลงตามเป้า
เรื่องนี้สำคัญอย่างไร นึกภาพง่ายๆ ว่า เมื่อดอกเบี้ยเป็น "ขาขึ้น" เงินจะถูกดูดออกจากระบบ เพราะคนอยากเอาเงินไปฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตรเพื่อกินดอกเบี้ยสูงๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำ
แต่เมื่อดอกเบี้ยเป็น "ขาลง" ผลตอบแทนจากการฝากเงินมันไม่จูงใจอีกต่อไป เงินที่เคย "นอนนิ่งๆ" ก็ต้องเริ่มหาที่ไปใหม่ เพื่อหาสินทรัพย์ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนมากกว่า
การเคลื่อนย้ายของเงินทุนก้อนใหญ่นี้เองที่เราเรียกว่า "สภาพคล่อง" (Liquidity) หรือ "Fund Flow" นักลงทุนทั่วโลกจะเริ่มโยกเงินออกจากสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำ (อย่างเงินฝาก) ไปยังสินทรัพย์ที่ "เสี่ยง" กว่า แต่ก็มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เพื่อหนีภาวะดอกเบี้ยต่ำ
แน่นอนว่าเป้าหมายหลักคือสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำโดยตรง ซึ่งในภาพใหญ่ก็คือ ตลาดหุ้น พันธบัตร (ที่ออกมาก่อนหน้า) ทองคำ หรือแม้แต่สินทรัพย์ทางเลือกอย่าง Cryptocurrency
บทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ชั้นนำต่างชี้เป้าตรงกันว่า สินทรัพย์เหล่านี้เตรียมได้ประโยชน์ และที่สำคัญตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) อย่าง "ตลาดหุ้นไทย" ก็มีหวังรับอานิสงส์เต็มๆ
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ชี้ว่าการประชุม FOMC (คณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด) ในวันที่ 17 กันยายนนี้ ตลาดคาดการณ์โอกาสเกิน 90% (จากข้อมูล CME FedWatch Tool) ว่าจะ "ลดดอกเบี้ย" แน่นอน หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว
สำหรับสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์โดยตรงและชัดเจนที่สุดเมื่อดอกเบี้ยลด มุ่งเป้าไปที่ พันธบัตร (ราคาจะสูงขึ้นสวนทางดอกเบี้ยที่ลดลง), ทองคำ (การถือทองมีต้นทุนน้อยลงเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝาก) และ Cryptocurrency (ที่มักวิ่งตามสภาพคล่องที่ล้นระบบ)
ด้านฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า สหรัฐฯ กำลังเร่งลดดอกเบี้ยตามประเทศอื่นๆ ที่ลดไปก่อนหน้า และหากดูอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของสหรัฐฯ ที่ยังเป็นบวกถึง 1.6% สะท้อนว่า เฟด "มีช่องว่าง" หรือมีกระสุนให้ลดดอกเบี้ยได้อีกถึง 6 ครั้งเลยทีเดียว
แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) จะวิ่งขึ้นมารอข่าวนี้แล้วกว่า 32% จากจุดต่ำสุด สะท้อนว่าตลาด "รับรู้" ข่าวดีไปพอสมควร แต่สถิติในอดีตตั้งแต่ปี 1970 ชี้ว่า ตลาดหุ้นมักปรับขึ้นเฉลี่ย 15% ภายใน 1 ปี หลังจากเฟดเริ่มลดดอกเบี้ยรอบใหม่
จุดที่น่าสนใจคื แรงขับเคลื่อนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง มักหนุนให้ ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Markets) ปรับตัวขึ้นได้ "แรงกว่า" ตลาดที่พัฒนาแล้วเสมอ
โดย บล.เอเซีย พลัส ชี้ว่า มีโอกาสสูงมากที่จะเห็นเม็ดเงินมหาศาล "โยกย้าย" (Rotate) หนีจากตลาดที่แพง มายังฝั่งตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่ยังมีราคาถูกกว่า และประเทศไทยคือหนึ่งในเป้าหมายนั้น
เมื่อคาดการณ์ว่าเงินกำลังจะไหลเข้าไทย บล.เอเซีย พลัส จึงแนะนำกลยุทธ์ลงทุนใน 3 กลุ่มหุ้นหลักที่จะได้ประโยชน์ชัดเจน ดังนี้
1.กลุ่มค้าปลีก (ที่ราคายัง Laggard) - หุ้นกลุ่มนี้คือหุ้นที่ราคายังปรับขึ้นช้ากว่าตลาด แต่จะได้ประโยชน์โดยตรงจากกำลังซื้อในประเทศที่จะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก เช่น CPALL, CPAXT เป็นต้น
2.กลุ่มการเงิน - กลุ่มนี้ได้ประโยชน์เต็มๆ เพราะต้นทุนทางการเงิน หรือดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเพื่อกู้มาปล่อยสินเชื่อจะลดลงทันที ทำให้ส่วนต่างกำไร (Margin) เพิ่มขึ้น ได้แก่ MTC, TIDLOR เป็นต้น
3.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (ที่ปันผลสูง) - เมื่อดอกเบี้ยลดลง หุ้นกลุ่มนี้ยังมักจ่าย "เงินปันผลสูง" ซึ่งจูงใจนักลงทุนในยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ เช่น AP, SPALI เป็นต้น
ด้าน บล.ดาโอ (ประเทศไทย) กลยุทธ์การลงทุนหลักว่า ช่วงต้นสัปดาห์ตลาดทั่วโลกน่าจะทรงตัว เพื่อรอผลประชุม FOMC ที่ตลาดไทยจะรับรู้เช้าวันพฤหัสบดี
ช่วงต้นสัปดาห์จึงแนะนำเป็นเก็งกำไรสั้น เน้นไปที่หุ้น Domestic Play ไปก่อน และถ้าผลประชุม FOMC ออกมาดี ค่อยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนให้เพิ่มขึ้น
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้