
หลายคนต่างจับตาการเคลื่อนไหวของหุ้น บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON อย่างใกล้ชิด หลังราคาหุ้นได้ทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงจากระดับ 6.80 บาท สู่ 8.85 บาท (9 ก.ย.68) ซึ่งคิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 30.14% ในช่วงเวลาไม่นาน นับจากที่ “นายกฯ คนเก่า” หลุดจากตำแหน่ง
การพุ่งขึ้นของราคาครั้งนี้ยังเป็นการทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบกว่า 11 เดือน พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงความสนใจอย่างล้นหลามจากนักลงทุน
จุดเปลี่ยนสำคัญคือความชัดเจนทางการเมือง เมื่ออนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับการลงมติให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ซึ่งได้สร้างแรงกระเพื่อมเชิงบวกต่อหุ้น STECON ในทันที จากความเชื่อมโยงระหว่างนายกรัฐมนตรีคนใหม่ กับบริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งนี้
อย่างที่รู้กันดีว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องผิวเผิน แต่เป็นรากฐานสำคัญของบริษัท ซึ่งในอดีต ชวรัตน์ ชาญวีรกูล บิดาของอนุทิน คือผู้ก่อตั้ง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง ก่อนมาเป็นอาณาจักรรับเหมายักษ์ใหญ่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ตระกูลชาญวีรกูล ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ผ่านนิติบุคคลและสมาชิกในครอบครัวหลายคน ความเชื่อมโยงนี้ทำให้นักลงทุนมองว่า STECON จะกลายเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์หลักจากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลชุดใหม่
STECON ดำเนินธุรกิจในลักษณะ Holding company มีรายได้จากการถือหุ้นในบริษัทอื่น โดยมีบริษัทย่อยหลักคือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยและเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศไทย
การปรับโครงสร้างสู่การเป็นโฮลดิ้งนี้ เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ ซึ่งธุรกิจหลักมีความหลากหลายครอบคลุมงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง 5 ประเภทหลัก ได้แก่
แม้ว่ากระแสความคาดหวังทางการเมืองจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาหุ้น แต่เมื่อดูในเชิงพื้นฐาน โดยเฉพาะปริมาณงานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่มหาศาลนั้น อาจเป็นเครื่องยืนยันว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนตั้งอยู่บนความเป็นจริงที่จับต้องได้
โดย STECON มีงานในมือรอรับรู้รายได้สูงถึง 1.27 แสนล้านบาท (ณ สิ้นไตรมาส 2/68) ตัวเลขนี้เพียงพอที่จะสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้กับบริษัทไปอีกอย่างน้อย 3-4 ปีข้างหน้า ทำให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตได้อย่างชัดเจน และลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่างๆ ลงได้อย่างมาก
สำหรับผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปีล่าสุด
STECON ในฐานะผู้รับเหมารายใหญ่ ถือเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆ ที่จะได้รับประโยชน์จากแผนการลงทุนต่างๆ จากรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ อนุทิน ในโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ
ข้อมูลจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) ระบุว่ามีนักวิเคราะห์ถึง 13 รายที่ให้คำแนะนำ "ซื้อ" (Buy) และมีเพียง 1 รายที่แนะนำ "ถือ" (Hold) เป็นสัญญาณที่ทรงพลังซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นในระดับสูงจากกลุ่มนักวิเคราะห์มืออาชีพต่อแนวโน้มการเติบโตของบริษัท
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ได้ให้กรอบราคาเป้าหมายในระยะ 12 เดือนข้างหน้าไว้ค่อนข้างน่าสนใจ โดยมีราคาสูงสุดที่ 10.00 บาท ราคาต่ำสุดที่ 7.00 บาท กรอบราคานี้ชี้ให้เห็นถึง Upside ที่ยังเหลืออยู่จากราคาปัจจุบัน
ประเด็นสำคัญจากบทวิเคราะห์ของแต่ละบริษัทหลักทรัพย์ จะพบว่ามีมุมมองที่สอดคล้องกันในหลายมิติ ดังนี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างใกล้ชิด หาก สามารถบริหารจัดการและส่งมอบงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทะยานขึ้นของราคาหุ้นในครั้งนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการเติบโตที่น่าติดตามในอนาคตข้างหน้า
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้