LH Bank คงเป้าสินเชื่อปี 68 โต 7-8% ชู SME เน้นคุม NPL ไม่เกิน 3% ขัดแย้ง “กัมพูชา” กระทบน้อย

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

LH Bank คงเป้าสินเชื่อปี 68 โต 7-8% ชู SME เน้นคุม NPL ไม่เกิน 3% ขัดแย้ง “กัมพูชา” กระทบน้อย

Date Time: 25 ก.ค. 2568 11:18 น.

Video

กลาง ธ.ค.ลุ้น! ฝนถล่มภาคใต้รอบใหม่ น้ำลดรอบนี้ต้องรีบทำอะไร? | Thairath Money Night Stand EP.26

Summary

LH Bank กางแผนปี 2568 มั่นใจสินเชื่อโต 7-8% แม้เจอความท้าทายเศรษฐกิจโลกและมาตรการภาษีสหรัฐฯ พร้อมโชว์ผลงานครึ่งปีแรกกำไรสุทธิพุ่ง 30.3% เตรียมรับมือความเสี่ยงด้วยการตั้งสำรองและคุม NPL ไม่เกิน 3% เดินหน้าขยายฐานลูกค้า SME และรายย่อย เสริมทัพด้วยเทคโนโลยี AI และเครือข่าย CTBC ไต้หวัน หนุนสินเชื่อต่างประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้านความขัดแย้งกัมพูชามองกระทบระยะสั้น-ไม่มาก

Latest


ฉี ชิง-ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank เปิดเผยว่า ในปี 2568 ธนาคารยังคงเป้าสินเชื่อเติบโต 7-8% แม้จะมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจชะลอตัวและเรื่องภาษี โดยครึ่งปีแรกสินเชื่อขยายตัวถึง 3.4% ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรม ขณะที่ธุรกิจรายย่อยโต 9% สินเชื่อส่วนบุคคลโต 284% สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ 6% และสินเชื่อระหว่างประเทศขยายตัว 9.9%

รวมทั้งธนาคารได้ขยายสินเชื่อ SME ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม (Product Program) ส่งผลให้สินเชื่อ SME เติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากสิ้นปีก่อน นอกจากนี้ ธนาคารได้ขยายฐานลูกค้ารายย่อยเพิ่มขึ้น 13% จากสิ้นปีก่อน ด้วยความสำเร็จของผลิตภัณฑ์เงินฝากดิจิทัล “B-You Max” รวมถึงการเติบโตของธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management)

“สำหรับครึ่งหลังของปีนี้ เศรษฐกิจโลก และ มาตรการภาษีการค้าจากสหรัฐอเมริกา ถูกมองว่าเป็นปัจจัยหลักที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากที่สุด ธนาคารได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวโดยการ ตั้งสำรอง เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น” 

ขณะเดียวกันธนาคารยังได้ควบคุมอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ในปี 68 ไว้ไม่ให้เกิน 3% จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2.2-2.5% ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ลดลงมาอยู่ที่ 2.04% จากระดับ 2.32% เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินโดยรวม 

รวมทั้งธนาคารยังได้ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของ CTBC ไต้หวันซึ่งเป็นบริษัทแม่ ในการสนับสนุนให้สินเชื่อกลุ่มลูกค้าต่างประเทศผ่านสินเชื่อธุรกิจต่างประเทศ (Trade Finance) และ FX ขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าจากประเทศจีน 

สำหรับกลยุทธ์ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ธนาคารยังคงเดินหน้าขยายสินเชื่อกลุ่ม SME ผ่าน Product Program ควบคู่กับการให้บริการ Corporate E-Banking/ Mobile Banking “LHB Biz Connect” ที่รองรับการชำระเงินและธุรกรรมการค้าต่างประเทศ (Trade Finance) ทั้งสกุลเงินบาทและสกุลเงินต่างประเทศ        

ด้านฝั่งของลูกค้ารายย่อย ธนาคารยังคงมุ่งเน้นให้บริการสินเชื่อบ้านและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ ธนาคารเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี AI และแอปพลิเคชัน เพื่อยกระดับความเป็นเลิศในการให้บริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งธนาคารยังเร่งขยายบริการบริหารความมั่งคั่งผ่านโครงการ “Family Banking” 

ด้านแม้ว่าเศรษฐกิจบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ฉี ชิง-ฟู่ มองว่า แม้จะมีความเชื่อมโยงและพึ่งพากัน แต่จากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จำนวนลูกค้าของธนาคารที่มีการลงทุนหรือความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่สำคัญกับกัมพูชามีจำกัด ธนาคารจึงมองว่าผลกระทบจากสถานการณ์ในกัมพูชาต่อพอร์ตสินเชื่อและธุรกิจของธนาคารนั้นอยู่ในระดับที่น้อยมาก 

สำหรับผลการดำเนินครึ่งปีแรก ของปี 2568 กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์(LHFG) มี กำไรสุทธิ 1,121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.8 % และมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 361,287 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ขณะที่ผลการดำเนินงานของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ครึ่งแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ 1,103 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สินเชื่อเติบโต 3.4 % จากสิ้นปี 2567 หลักๆ เป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรายย่อย 9.3% และสินเชื่อธุรกิจ 1.8 % และธนาคารได้ขยายสินเชื่อ SME ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม (Product Program) ส่งผลให้สินเชื่อ SME เติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากสิ้นปีก่อน

ด้าน วรวุฒน์ โตเจริญธนาผล President และหัวหน้ากลุ่มงานการเงินและบัญชี LHFG เปิดเผยว่า ปี 2568 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ 1.3 - 2.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีแรงหนุนจากการลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวดีตามการปรับเพิ่มกรอบงบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ 2568 และการส่งออกที่เร่งตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีก่อนที่มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้

อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มลดลงตามภาคการผลิตที่อ่อนแอประกอบกับเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ อาทิ หนี้ครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง ความไม่แน่นอนจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และความยืดเยื้อของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/investment

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ