ชายแดน “ไทย-กัมพูชา” ปะทุ สะเทือนหุ้นอะไรบ้าง ? เช็กด่วน! 8 กลุ่มธุรกิจ เสี่ยงได้รับผลกระทบ

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ชายแดน “ไทย-กัมพูชา” ปะทุ สะเทือนหุ้นอะไรบ้าง ? เช็กด่วน! 8 กลุ่มธุรกิจ เสี่ยงได้รับผลกระทบ

Date Time: 25 ก.ค. 2568 11:30 น.

Video

กลาง ธ.ค.ลุ้น! ฝนถล่มภาคใต้รอบใหม่ น้ำลดรอบนี้ต้องรีบทำอะไร? | Thairath Money Night Stand EP.26

Summary

โบรกฯ ชี้หุ้น 8 อุตสาหกรรม เสี่ยงรับกระทบสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทวีความตึงเครียด เช็กด่วน! กระทบใครบ้าง น่ากังวลแค่ไหน ?

Latest


สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้ทวีความตึงเครียดขึ้น เมื่อเกิดการเปิดฉากปะทะกันอย่างรุนแรง ในมุมของนักลงทุน ปฏิเสธไม่ได้ว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศ ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คำถามสำคัญคือสถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย และบริษัทจดทะเบียนที่มีความเชื่อมโยงกับประเทศกัมพูชามากน้อยเพียงใด และนักลงทุนควรประเมินความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร

Thairath Money รวบรวมบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ซึ่งประเมินผลกระทบในมิติต่างๆ เป็นข้อมูลสำคัญที่นักลงทุนต้องนำมาพิจารณา เพื่อตัดสินใจในการลงทุนต่อไป ดังนี้


ความขัดแย้งชายแดนยืดเยื้อ กดดัน “หุ้นไทย”

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จํากัด (มหาชน) ประเมินว่า แม้ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจมหภาคอาจดูจำกัดในภาพรวม แต่ก็มีนัยสำคัญในบางมิติ โดยการค้าระหว่างประเทศกับกัมพูชามีสัดส่วนราว 1.34% ของการส่งออกทั้งหมด และ 0.30% ของการนำเข้ารวม

ขณะที่การค้าชายแดนในปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 174,530 ล้านบาท ส่วนการลงทุนโดยตรงของไทยในกัมพูชาก็คิดเป็นเพียง 0.94% ของการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าจับตาคือภาคแรงงาน ซึ่งมีแรงงานชาวกัมพูชาที่ได้รับอนุญาตในไทยกว่า 5 แสนคน (ข้อมูลทางการกัมพูชาระบุว่าอาจสูงถึง 1.2 ล้านคน) และความตึงเครียดที่ยืดเยื้อจะยังคงเป็น "ปัจจัยลบเชิงจิตวิทยา" ที่กดดันทิศทางการปรับขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยต่อไป

สอดคล้องกับ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ที่มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อตัวเลขเศรษฐกิจจริงแล้ว เห็นได้จากข้อมูลเดือนมิถุนายน 2568 ที่มูลค่าการส่งออกของไทยไปกัมพูชาลดลงถึง 30% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) และการนำเข้าลดลง 17% MoM สะท้อนถึง Sentiment เชิงลบ ที่เกิดขึ้นกับหุ้นที่มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับชายแดน


กระทบใครบ้าง น่ากังวลแค่ไหน ?

ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ได้ประเมินความเสี่ยงข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา จะส่งผลต่อบริษัทจดทะเบียนรายอุตสาหกรรมอย่างไร โดยมีรายละเอียด ดังนี้

[ 8 กลุ่มได้รับผลกระทบ ]

1.กลุ่มเครื่องดื่ม - CBG เป็นบริษัทที่ได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุด เนื่องจากรายได้จากกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 13% ของรายได้รวม (หรือคิดเป็น 37% ของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังจากต่างประเทศ) นอกจากนี้ แผนการลงทุนสร้างโรงงานในกัมพูชาอาจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน ขณะที่ OSP (โอสถสภา) ได้รับผลกระทบจำกัดมาก เพราะมีสัดส่วนยอดขายในกัมพูชาเพียง 1-2%

2.กลุ่มพลังงาน - OR มีธุรกิจในกัมพูชา ทั้งสถานีบริการน้ำมัน 186 แห่ง ร้าน Cafe Amazon 254 แห่ง และร้านสะดวกซื้อ 71 แห่ง ซึ่งสร้างส่วนแบ่งกำไร (EBITDA) ราว 7.0% ของบริษัท แม้ปัจจุบันจะยังดำเนินงานปกติ แต่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

3.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง - บริษัทกลุ่มนี้มีการค้าชายแดนกับกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดย SCCC มีบริษัทร่วมทุนซึ่งสร้างส่วนแบ่งกำไรคิดเป็น 5-8% ของกำไรทั้งหมด ส่วน SCC มีรายได้จากกัมพูชาประมาณ 5-7% ของรายได้รวม

4.กลุ่มสื่อ - MAJOR ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่กัมพูชาสั่งระงับการฉายภาพยนตร์ไทย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบด้านรายได้คาดว่าไม่รุนแรงนัก เนื่องจากรายได้จากโรงภาพยนตร์ 33 แห่งในกัมพูชา คิดเป็นเพียง 3% ของรายได้รวม และช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีหนังไทยในโปรแกรมฉายอยู่แล้ว

5.กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง - แม้บริษัทรับเหมารายใหญ่อย่าง CK และ STECON จะไม่มีโครงการในกัมพูชาโดยตรง แต่ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยพึ่งพิงแรงงานชาวกัมพูชาเป็นจำนวนมาก (ราว 1.6 แสนคน) หากสถานการณ์บานปลายจนเกิดการเคลื่อนย้ายหรือขาดแคลนแรงงาน อาจส่งผลกระทบต่อความล่าช้าของโครงการก่อสร้างทั่วประเทศได้

6.กลุ่มโรงพยาบาล - ผลกระทบโดยรวมไม่มากนัก คนไข้กัมพูชาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงซึ่งยังจำเป็นต้องรักษาพยาบาล หรือเป็นกลุ่มที่ทำงานในไทยอยู่แล้ว อาจมีเพียง Sentiment เชิงลบต่อ BCH ที่มีโรงพยาบาลในอรัญประเทศ ส่วน BDMS แม้มีโรงพยาบาล 2 แห่งในกัมพูชา แต่มีสัดส่วนรายได้เพียง 1% และเน้นลูกค้าชาวต่างชาติในพื้นที่เป็นหลัก

7.กลุ่มค้าปลีก - แม้ CPALL, CPAXT, BJC จะมีการขยายสาขาในกัมพูชา แต่เมื่อเทียบกับจำนวนสาขาทั้งหมดในไทยแล้วยังถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก (ต่ำกว่า 1-2%) จึงคาดว่าผลกระทบมีจำกัด

8.กลุ่มเกษตรและอาหาร - CPF มีการลงทุนและฐานการผลิตในกัมพูชา แต่เน้นขายในประเทศเป็นหลัก และคิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 3-4% ของรายได้รวม

[ 3 กลุ่มไม่ได้รับผลกระทบ ]

9.กลุ่ม ICT, 10.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์, และ 11.กลุ่มโรงไฟฟ้า ส่วนใหญ่บริษัทในกลุ่มเหล่านี้ มีการดำเนินงานและให้บริการภายในประเทศไทยเป็นหลัก และไม่มีการลงทุนที่มีนัยสำคัญในกัมพูชา จึงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ดังกล่าว (ยกเว้น BGRIM ที่มีโรงไฟฟ้าโซลาร์สัดส่วนเพียง 1% ของกำลังผลิตรวม)

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จํากัด (มหาชน) ประเมินว่า ผลกระทบจะมุ่งเป้าโดยตรงไปยังหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชา โดย SAV เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากมีรายได้จากกัมพูชาเต็ม 100% ตามมาด้วย CBG ที่มีสัดส่วนรายได้ 13%

ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบในระดับรองลงมา ได้แก่ OSP (5%), OR (4%), BDMS (3.7%), MAJOR (3%) และ BH (3%) ขณะที่ BCH (1.7%), CHG และ PTT (1%) ได้รับผลกระทบในสัดส่วนน้อย สำหรับกลุ่มที่คาดว่าได้รับผลกระทบจำกัดมาก (น้อยกว่า 1%) ประกอบด้วย TOP, PTTGC, IRPC, CPF และ TFG เป็นต้น


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ