Jitta Wealth แนะจัดพอร์ตลงทุนแบบ ‘Core-Satellite’ ฝ่าทุกวิกฤติ

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

Jitta Wealth แนะจัดพอร์ตลงทุนแบบ ‘Core-Satellite’ ฝ่าทุกวิกฤติ

Date Time: 17 ก.ค. 2568 13:57 น.

Video

เก็บเงินก็ยาก ลงทุนก็เสี่ยง คนไทยรอดจากความจนยาก? กับ ดร.บุรินทร์ อดุลวัฒนะ | Thairath Money Night Stand EP.17

Summary

Jitta Wealth สตาร์ทอัพ WealthTech สัญชาติไทย ผู้พัฒนาเทคโนโลยี AI ช่วยบริหารพอร์ตลงทุน ได้ให้มุมมองและคำแนะนำที่น่าสนใจ เพื่อให้นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตที่แข็งแกร่งและเติบโตได้ในทุกสภาวะ ด้วยการจัดพอร์ตแบบ “Core & Satellite”

Latest


ตลาดทุนในยุคที่เต็มไปด้วยความผันผวน อาจทำให้หลายคนรู้สึกหวั่นไหว ไม่ว่าจะเป็นข่าวสงครามการค้าที่อัพเดทไม่เว้นวัน การแข่งขันทางเทคโนโลยีที่ดุเดือดระหว่างมหาอำนาจ หรือตัวเลขเงินเฟ้อที่พร้อมจะดีดตัวขึ้นตลอดเวลา

ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้โลกการลงทุนวันนี้ “ไม่เหมือนเดิม” อีกต่อไป และสร้างคำถามกับนักลงทุนว่า “แล้วเราควรจะลงทุนอย่างไร?” ท่ามกลางความไม่แน่นอน ซึ่งการมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนคือสิ่งจำเป็นที่สุด

ล่าสุด Jitta Wealth สตาร์ทอัพ WealthTech สัญชาติไทย ผู้พัฒนาเทคโนโลยี AI ช่วยบริหารพอร์ตลงทุน ได้ให้มุมมองและคำแนะนำที่น่าสนใจ เพื่อให้นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตที่แข็งแกร่งและเติบโตได้ในทุกสภาวะ ด้วยการจัดพอร์ตแบบ “Core & Satellite”


The Worst is Over แต่ความท้าทายยังคงอยู่

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด ฉายภาพตลาดว่า ช่วงเวลาแห่งความกังวลที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว (The Worst is Over) ตลาดเริ่มคลายความกังวลจากประเด็นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องจับตา 3 ประเด็นสำคัญอย่างใกล้ชิด ได้แก่

  1. ผลกระทบของภาษีทรัมป์ - ต้องติดตามว่าแต่ละประเทศมีผลกระทบอย่างไรบ้าง อย่างไรก็ตาม ตลาดการลงทุนเริ่มชินกับการขู่ขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แล้ว สะท้อนจากดัชนี S&P500 ยังสามารถทำ All Time High ได้

  2. ภาวะเงินเฟ้อ - เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และผลกระทบจากสงครามการค้า ยังต้องติดตามว่าจะเพิ่มขึ้นแค่ไหน

  3. สงครามเทคโนโลยี - โดยเฉพาะการแข่งขันด้าน AI ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการเติบโตของโลกในอนาคต


เปิดกลยุทธ์จัดพอร์ตแบบ “Core-Satellite”

ในวันที่ภาพการลงทุนโลกเปลี่ยนไป การวางเงินลงทุนทั้งหมดไว้ในสินทรัพย์เดียวหรือตลาดเดียวถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก ตราวุทธิ์ ได้แนะนำกลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบ “Core-Satellite” เพื่อสร้างพอร์ตที่แข็งแกร่งและเติบโตได้ในทุกสภาวะตลาด ดังนี้

1.Core Portfolio

ส่วนนี้คือพอร์ตหลัก (80% ของเงินลงทุน) ที่ต้องมั่นคงและแข็งแกร่งที่สุด โดยเน้นการ “กระจายความเสี่ยงไปทั่วโลก” ผ่านกองทุน ETF ที่ลงทุนในตลาดสำคัญๆ เช่น หุ้นสหรัฐฯ, หุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว, หุ้นตลาดเกิดใหม่ และหุ้นกู้เอกชนชั้นดี

เป้าหมายของพอร์ตส่วนนี้ คือการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอราว 4-8% ต่อปี ด้วยความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด เป็นส่วนที่นักลงทุนสามารถ DCA (Dollar-Cost Averaging) หรือลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนได้ในระยะยาวโดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนบ่อย

2.Satellite Portfolio

พอร์ตเสริม (20% ของเงินลงทุน) มีความยืดหยุ่นและพร้อมหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น แม้จะมาพร้อมกับความผันผวนที่มากกว่าก็ตาม

นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก หรือตลาดหุ้นที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เช่น ตลาดหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมาหนักๆ มักมีโอกาสดีดตัวขึ้นมาได้ อย่าง “ตลาดหุ้นไทย” ซึ่งปัจจุบันมี P/E อยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับในอดีต และมีหุ้นปันผลดีหลายตัว

อย่างไรก็ตาม AI Market Prediction ยังชี้ว่าตลาดหุ้นจีน ยังเป็นตลาดหุ้นที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จากอัตราส่วนหุ้นดีราคาถูกที่เพิ่มขึ้นมาถึง 15.60 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดลงอยู่ที่ 0.61 เท่า สะท้อนราคาที่แพงไปแล้ว


พิสูจน์แล้วว่าลดความผันผวนได้จริง

ทั้งนี้ สูตรการลงทุนที่ Jitta Wealth แนะนำได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถนำพาพอร์ตให้ผ่านพ้นวิกฤติ Trump Tarriffs ได้

โดยในวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่สหรัฐฯ มีการประกาศ Liberation Day ผลตอบแทนของพอร์ตติดลบเพียง 5.27% จากต้นปี ถือว่าน้อยมากเทียบกับสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกที่ร่วงรุนแรงในช่วงเวลาเดียวกัน

และล่าสุดเมื่อตลาดเริ่มนิ่ง (14 กรกฎาคม 2568) ผลตอบแทนก็กลับมา +3.49% พิสูจน์ได้ว่าการจัดพอร์ตด้วยหลักการนี้สามารถฝ่าวิกฤติความผันผวนได้จริง


“หุ้นไทย” ควรอยู่ในพอร์ตเสริม

สำหรับนักลงทุนไทยที่คุ้นเคยกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ตราวุทธิ์ ให้มุมมองว่าหุ้นไทยเหมาะที่จะเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ต “Satellite” เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมง โดยดัชนีถึงจุดที่ไม่น่าจะปรับตัวลดลงไปกว่านี้แล้ว

ขณะเดียวกัน หุ้นไทยเริ่มน่าซื้อลงทุนเนื่องจากราคาหุ้นหลายตัวได้ลงมาอยู่ในจุดที่ “ถูก” และมีบริษัทดีๆ ที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอในระดับ 5-8% เช่น กลุ่มธนาคาร

กลยุทธ์ที่แนะนำคือการคัดเลือกหุ้นรายตัว ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีรายได้เติบโตต่อเนื่อง และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ แทนที่จะลงทุนในภาพรวมทั้งตลาด ซึ่งอาจเติบโตได้ไม่มากนัก

สำหรับนักลงทุนที่อาจจะยังไม่มีความรู้หรือเวลาในการติดตามตลาดมากนัก การเริ่มต้นด้วยการกระจายความเสี่ยงและมีวินัยในการลงทุนแบบ DCA คือหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จทางการเงินในระยะยาวได้อย่างแท้จริง

“ไม่มีใครรู้ว่าทรัมป์จะทำอะไร หรือปีนี้จะมีมรสุมอะไร แต่สิ่งที่เราต้องทำคือสร้างพอร์ตลงทุนที่ฝ่าได้ทุกสภาวะการณ์” ตราวุทธิ์ กล่าว


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ