
ช่วงกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ตลาดหุ้นไทยจะเริ่มเข้าสู่ฤดูประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ของบริษัทจดทะเบียน โดยกลุ่มแรกที่จะประกาศออกมาคือ กลุ่มธนาคาร ซึ่งนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ต่างประเมินว่ามีแนวโน้มที่กำไรจะปรับตัวลดลง
ปัจจัยหลักที่กดดันผลกำไรของกลุ่มธนาคาร มาจากหลายสาเหตุสำคัญ ได้แก่ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ปรับลดลง หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยของธนาคารลดลง
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้เสีย (ECL) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลง ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ขณะที่ธนาคารบางแห่งเริ่มปรับลดพอร์ตสินเชื่อและเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้นด้วย
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่ากลุ่มธนาคารจะเริ่มรายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2568 ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม โดย TISCO จะเป็นธนาคารแรกที่ประกาศ จากนั้นตามมาด้วย TTB (18 ก.ค.) BBL (18-21 ก.ค.) และธนาคารอื่นๆ (21 ก.ค.)
โดยคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 ของธนาคารที่ศึกษาจะอยู่ที่ 5.15 หมื่นล้านบาท ลดลง -4% จากปีก่อน และ -12% จากไตรมาสก่อน จาก NIM ที่ลดลง รายได้จากสินเชื่อและเงินลงทุนลดลง รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมด้านตลาดทุนที่ปรับตัวลดลง และค่าใช้จ่ายสำรองที่เพิ่มขึ้นจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลง
ทั้งนี้ คาดการณ์เงินปันผลระหว่างกาลครึ่งแรกของปี 2568 ของธนาคารจะมี Dividend Yield ที่ 1-3% และยังคงเลือก KBANK และ KTB เป็น Top Pick
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มองว่าตลาดในระยะสั้นจะหันมาสนใจตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร ที่คาดว่าผลประกอบการอาจชะลอตัวลง -9% จากไตรมาสก่อน และ -3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สาเหตุมาจากพอร์ตสินเชื่อที่ลดลงจากการเข้มงวดในการปล่อยกู้ของธนาคาร NIM ที่ลดลงจากการปรับลดดอกเบี้ยของ กนง. และการตั้งสำรองหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นตาม NPL ที่ขยับสูงขึ้น สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีนัก
ขณะที่ บริษัท หลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กำไรรวมของกลุ่มธนาคารได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในไตรมาส 1/2568 และแนวโน้มหลังจากนี้กำไรมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยจะไปแตะระดับต่ำสุดในไตรมาส 4/2568 เช่นเดียวกับหลายปีที่ผ่านมา
สำหรับไตรมาส 2/2568 คาดการณ์กำไรสุทธิรวมของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ 5.79 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง -5.2% จากไตรมาสก่อน แม้ว่าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ อาจผ่อนคลายลงได้ แต่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิซึ่งเป็นรายได้หลักกลับลดลงจากสินเชื่อที่ชะลอตัวและ NIM ที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม บล.พาย ชี้ว่า Valuation ของกลุ่มธนาคารที่ซื้อขายที่ P/BV อยู่ราว 0.7 เท่า (-0.5SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี) และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูง จะช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้นได้ โดยคงน้ำหนักการลงทุน "เท่ากับตลาด" และเลือก BBL, KTB เป็นหุ้นเด่น
การประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์และปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับทิศทางตลาดในครึ่งปีหลัง และต้องติดตามข่าวสารสำคัญและบทวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อไม่พลาดทุกโอกาสในการลงทุน
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้