
วันนี้ใครตื่นมาก็ต้องขยี้ตาแรงๆ กับตัวเลขภาษีที่สหรัฐฯ ประกาศใช้กับไทย บอกเลยว่าตัวเลข 36% นี้ ทำเอาหลายคนใจหายวาบ เพราะเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้ว เรตนี้ถือว่าสูงไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว
งานนี้ถือเป็นความท้าทายด่านสำคัญของประเทศไทย ที่เศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก เหมือนเจอโจทย์ยากที่ต้องรีบแก้ก่อนเวลาจะหมด หลังสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการบังคับใช้ออกไป 3 สัปดาห์
ทำให้เส้นตายใหม่จะไปมีผลในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ พร้อมกันทุกประเทศ จากเดิมที่กำหนดไว้ 9 กรกฎาคม เท่ากับว่าเรามีเวลาหายใจหายคอและเจรจาต่อรองกันอีกรอบหนึ่ง
ล่าสุดดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ SET Index ปิดการซื้อขายภาคเช้าวันนี้ (8 ก.ค.68) ที่ระดับ 1,118.47 จุด ลดลง -4.53 จุด หรือ -0.40% นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ชี้ ตลาดหุ้นไทยเสี่ยงดิ่งถึง 3% จากประเด็นดังกล่าว จับตาผลเจรจา 1 ส.ค. นี้ พร้อมเปิดเป็น 5 ความเป็นไปได้ที่จะกำหนดทิศทางดัชนีในอนาคต
ถ้าโดน 36% จริง หุ้นไทยสะเทือนแค่ไหน ?
ฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มองว่า หากนับเฉพาะผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย กลุ่มที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ หนักๆ มี 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ เกษตร (AGRI), อาหาร (FOOD), ปิโตรเคมี (PETRO), และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON)
เมื่อคำนวณดูแล้ว หุ้นใน 4 กลุ่มนี้มีสัดส่วน
3.3% ของมูลค่าตลาดรวม (Market Cap)
3.1% ของรายได้รวม
1.1% ของกำไรรวม
ดังนั้น ประเมินว่าหากการส่งออกของ 4 กลุ่มนี้ไปยังสหรัฐฯ ต้องหยุดชะงักไปทั้งหมดจริง (ซึ่งเป็นกรณีเลวร้าย) อาจกดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงได้ประมาณ -3%
แล้วถ้าตลาดผันผวนแบบนี้ จะลงทุนอย่างไรดี ? บล.เอเซีย พลัส แนะนำให้หันไปพักใจใน หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง และ หุ้นอิงปัจจัย 4 ที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร คนก็ยังต้องกินต้องใช้ ได้แก่ MTC, SAWAD, TISCO, SPALI, SIRI, BDMS, BH, BCH เป็นต้น
เปิด 5 ความเป็นไปได้ ลุ้นดีล 1 สิงหาฯ แบบไหนปัง แบบไหนพัง?
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองว่า ช่วงเวลาก่อนถึงวันที่ 1 สิงหาคมนี้ คือ "ช่วงเวลาแห่งการเจรจา" เพื่อลดดีกรีความร้อนแรงของตัวเลขภาษี เบื้องต้นประเมินว่าเป็นปัจจัยลบเชิงจิตวิทยาระยะสั้นต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แต่เชื่อว่าตลาดจะไม่ลงแรงจนน่าตกใจ เพราะส่วนหนึ่งตลาดได้รับรู้และสะท้อนข่าวนี้ไปในราคาหุ้นบ้างแล้ว (Price In)
ทีนี้มาถึงไฮไลท์สำคัญ บล.กรุงศรี ได้ประเมิน 5 ความเป็นไปได้ที่เป็นไปได้ ว่าผลการเจรจาจะออกมาหน้าไหน และตลาดหุ้นไทยจะตอบรับอย่างไรบ้าง สรุปได้ดังนี้
ความเป็นไปได้ที่ 1: ดีลดีที่สุด (Best Case)
ดีล: ไทยได้ลดภาษีเหลือ 10-15% (ดีกว่าเวียดนาม)
ผลต่อตลาดหุ้นไทย: ตอบรับเชิงบวกเต็มๆ (Bullish) อาจบวกได้ถึง 3-5%
หุ้นเด่นน่าจับตา:
นิคมอุตสาหกรรม (FDI จีนย้ายฐาน): WHA, AMATA
ส่งออกเทคฯ: DELTA, KCE, HANA
ส่งออกอาหาร: TU, ITC, AAI, CPF, STA
กลุ่มนำเข้า (ถ้าไทยยอมลดภาษีสินค้าสหรัฐฯ แลกกัน): COM7, ADVICE, SYNEX, BE8, BBIK
นำเข้าเทคโนโลยี/โครงสร้างพื้นฐาน: GULF, GPSC, ADVANC, TRUE
ความเป็นไปได้ที่ 2: ดีลดีใช้ได้
ดีล: ไทยได้ภาษี 15-18% (ดีกว่าเวียดนามเล็กน้อย)
ผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย: แกว่งตัวในกรอบ 1,130-1,180 จุด
หุ้นเด่นน่าจับตา:
ส่งออก (เลือกตัวเด่น): KCE, HANA
นิคมฯ: WHA, AMATA (ยังน่าสะสม)
กลุ่มนำเข้า: ADVANC, COM7, ADVICE, INSET
นำเข้าก๊าซ: PTTGC, GPSC, BGRIM
ความเป็นไปได้ที่ 3: ดีลเท่าเวียดนาม
ดีล: ไทยได้ภาษี 19-21% (เท่าเวียดนาม)
ผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย: เป็นกลางถึงบวกในกรอบแคบๆ
หุ้นเด่นน่าจับตา:
กลุ่มปลอดภัยในประเทศ (Domestic Defensive): BDMS, CPALL
โรงไฟฟ้า: GULF, GPSC
เปิดเมือง-ท่องเที่ยว: MINT, CENTEL
เช่าซื้อ: KTC, MTC
ความเป็นไปได้ที่ 4: ดีลเริ่มไม่ดี
ดีล: ไทยโดนภาษี 22-25% (แย่กว่าเวียดนาม)
ผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย: มีโอกาสแกว่งตัว ต่ำกว่า 1,100 จุด
หุ้นเด่นน่าจับตา:
พลังงาน: PTTEP, BANPU
โรงพยาบาล: BDMS
หุ้นใหญ่ในประเทศที่ยัง Laggard: ADVANC, GULF
เช่าซื้อ: KTC, MTC, SAWAD
ความเป็นไปได้ที่ 5: ดีลแย่ที่สุด (Worst Case)
ดีล: ไทยถูกเก็บภาษี มากกว่า 25%
ผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย: ปรับฐานแรง มีโอกาสลงไปทดสอบจุดต่ำสุดเดิมแถว 1,053 จุด
หุ้นเด่นน่าจับตา:
กลุ่มได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยลด: KTC, MTC
ปันผลสูง: ADVANC, AP
หุ้นหนี้สูง: TRUE, MINT, CPALL
พลังงานสะอาด/โรงพยาบาล: GULF, BCPG, BDMS, BCH, CHG
ท่องเที่ยว: CENTEL, ERW
จากนี้ไปนักลงทุนคงต้องจับตาดูการทำงานของภาครัฐในการเจรจาต่อรองอย่างใกล้ชิด เพราะผลลัพธ์ที่จะประกาศในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ อาจเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังอย่างแท้จริง
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney