รู้ทัน “Sunk-Cost Fallacy” อคติที่เกิดจาก "ความเสียดาย" ต้นทุนที่จ่ายไปแล้วและเรียกคืนไม่ได้ จนทำให้เราตัดสินใจผิดพลาด
เคยสงสัยไหมว่า ? ทำไมคนมากมายยอมโอนเงินให้มิจฉาชีพซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่เริ่มเอะใจว่ากำลังจะ “โดนโกง” แต่ก็ยังโอน "เงินก้อนต่อไป" เพื่อหวังจะได้ "เงินก้อนแรก" คืนมา
ปรากฏการณ์นี้เกิดจากกับดักทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “Sunk-Cost Fallacy” มันคืออคติที่เกิดจาก "ความเสียดาย" ต้นทุนที่จ่ายไปแล้วและเรียกคืนไม่ได้ จนทำให้เราตัดสินใจผิดพลาด
เหมือนคนที่โอนเงินให้มิจฉาชีพไปแล้ว 1,000 บาท แล้วยอมโอนเพิ่มอีก 5,000 บาท เพราะเสียดายเงินก้อนแรก และหวังว่าจะได้ทั้งหมดคืน ทั้งที่ควรจะหยุดทันทีที่รู้ตัวว่าโดนหลอก
กลไกทางความคิดนี้ ทำงานเดียวเช่นกันในโลกของการลงทุน ที่คอยปั่นประสาทและทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ต่างจากมิจฉาชีพ ทั้งที่ควรตั้งสติและทบทวนการลงทุนเมื่อรู้ตัวว่า “ผิดทาง”
Sunk-Cost Fallacy อธิบายง่ายๆ คือ อคติที่เกิดจากความเสียดายใน "ต้นทุนจม" ซึ่งเป็นต้นทุนที่จ่ายไปแล้วและไม่สามารถเรียกคืนได้ ความเสียดายนี้ทำให้เกิดการตัดสินใจในอนาคตอย่างไม่สมเหตุสมผล
ลองนึกภาพตามว่า มีมิจฉาชีพส่งข้อความมาหลอกว่าคุณได้รับรางวัลใหญ่ แต่ต้องโอนค่าธรรมเนียมไปให้ก่อน 1,000 บาท ด้วยความโลภ คุณจึงโอนไป แต่แล้วมิจฉาชีพก็อ้างว่าต้องมีค่าภาษีอีก 5,000 บาท
หากคุณกำลังคิดว่า "เราลงเงินไปแล้ว 1,000 บาท ถ้าไม่โอนเพิ่ม เงินก้อนแรกก็สูญเปล่า ลองดูอีกครั้งสิ" สุดท้ายคุณก็โอนเงิน 5,000 บาทนั้นไป สุดท้ายมันก็จะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามมาเรื่อยๆ จนคุณหมดตัว
เงิน 1,000 บาทแรกที่โอนไปนั้น คือ "ต้นทุนจม" มันคือต้นทุนที่จ่ายไปแล้วและไม่มีวันได้คืน ไม่ว่าจะโอนเงินเพิ่มหรือไม่ก็ตาม Sunk-Cost Fallacy ก็คือการที่คุณปล่อยให้ "ความเสียดาย" เงิน 1,000 บาทแรก มาเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจโอนเงินก้อนต่อไป แทนที่จะประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริงว่า "นี่คือการหลอกลวง และควรจะหยุดทันที"
ในโลกการลงทุน กลไกของ Sunk-Cost Fallacy เกิดขึ้นได้เมื่อนักลงทุน "ติดดอย" หรือถือครองหุ้นที่ขาดทุนหนัก แต่ไม่ยอมขาย หุ้นตัวนั้นเปรียบเสมือนมิจฉาชีพที่เคยหลอกให้ลงเงินก้อนแรก ตั้งแต่ตอนที่เราเข้าซื้อครั้งแรก และกำลังใช้คำสัญญาว่าจะ "กลับไปจุดเดิม" มาเป็นตัวประกัน เพื่อทำให้เงินทุนและเวลาของนักลงทุนจมอยู่ในนั้น
อคติความเสียดายนี้ ทำให้นักลงทุนมักปฏิเสธการขายหุ้นทิ้ง เพราะยังขาดทุนอยู่ หรืออันตรายกว่านั้น คือการหลอกตัวเองให้ "ถัวเฉลี่ยในขาลง” กับหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานได้เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมแล้ว พฤติกรรมนี้ไม่ต่างจากการโอนเงินเพิ่มให้มิจฉาชีพซ้ำๆ ซึ่งเป็นการนำเงินทุนก้อนใหม่ลงเพิ่มไปกับความผิดพลาดในอดีต
ความเสียหายที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงตัวเลขที่ขาดทุน แต่คือ "ต้นทุนค่าเสียโอกาส" (Opportunity Cost) ที่นักลงทุนอาจพลาดในการเข้าลงทุนสินทรัพย์อื่นที่มีศักยภาพการเติบโตสูงกว่า นี่คือความเสียหายซ้ำซ้อนที่ทำให้นักลงทุนจำนวนมากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินการลงทุนได้
ดังนั้น การสร้างวินัยการลงทุน คือ ทักษะจำเป็นที่จะทำให้นักลงทุนอยู่รอด และสร้างความสำเร็จในตลาดทุนระยะยาว ซึ่งอาจเริ่มตั้งแต่การปรับมุมมองและทบทวนแผนการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ, การตั้งจุด Stop-Loss, ไปจนถึงการตัดขาดทุน (Cut Loss) เพื่อบริหารความเสี่ยงและเปิดรับโอกาสใหม่ ให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในอนาคต
ดร.กฤษณ์ อริยะพุทธิพงศ์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุไว้ในบทความวิชาการ ว่า เมื่อคุณต้องเผชิญกับการตัดสินใจ หนึ่งในทางออกที่ดี คือ นั่งลงทำรายการข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือก พิจารณามูลค่า พิจารณาความน่าจะเป็นของตัวเลือกต่าง ๆ แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน
“บางครั้งคุณอาจจะพบว่าต้นทุนที่จมหายไปนั้น ไม่สามารถย้อนกลับไปเอาคืนมาได้ การตัดใจทิ้งต้นทุนที่จมไป อาจจะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ที่คุ้มค่ากว่าก็ได้”
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้