จับตาหุ้นน้ำมัน โบรกฯ ชี้ ไม่สะเทือนข่าว “กัมพูชา” ระงับนำเข้า เกาะติดสงคราม “ตะวันออกกลาง” เดือด ส่งผลราคาพุ่งต่อ
ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน หุ้นกลุ่มพลังงานและน้ำมันของไทย ยังคงเป็นที่จับตามองของนักลงทุนอย่างใกล้ชิด แม้ล่าสุดจะมีปัจจัยลบเฉพาะหน้าจากการที่กัมพูชาระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากไทย แต่ดูเหมือนว่าความร้อนแรงของสมรภูมิในตะวันออกกลาง จะส่งอิทธิพลต่อทิศทางราคาพลังงานโลกและหุ้นกลุ่มนี้มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ประกาศผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย สั่งระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซทุกชนิดจากประเทศไทย มีผลตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนเป็นต้นไป โดยให้เหตุผลว่าบริษัทผู้จัดจำหน่ายในกัมพูชามีศักยภาพเพียงพอที่จะนำเข้าเชื้อเพลิงจากแหล่งอื่นเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศได้ ไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาวก็ตาม
แม้ข่าวดังกล่าวจะสร้างความกังวลในระยะสั้น แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว ผลกระทบต่อบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของไทยค่อนข้างจำกัด โดย นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า รายได้จากการส่งออกน้ำมันและก๊าซไปยังกัมพูชาของเครือ ปตท. (PTT) คิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณ 1% ของรายได้ทั้งหมดเท่านั้น
สำหรับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ซึ่งดูเหมือนจะได้รับผลกระทบโดยตรงที่สุด ก็มีสัดส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากกัมพูชาเพียง 4%
ขณะที่กลุ่มโรงกลั่นอย่าง ไทยออยล์ (TOP), พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ ไออาร์พีซี (IRPC) มียอดส่งออกไปยังแต่ละประเทศในอาเซียนต่ำกว่า 1% ของยอดขายทั้งหมด
ในทางกลับกัน สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางกลับทวีความรุนแรงและเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลโดยตรงต่อราคาน้ำมันโลกอย่างชัดเจน หลังมีรายงานว่าสหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมปฏิบัติการทางทหาร โดยส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 โจมตีศูนย์พัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านถึง 3 แห่ง ซึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาแถลงย้ำว่าเป็นปฏิบัติการเพื่อยับยั้ง “การสร้างมหันตภัย”
การตอบโต้รายวันระหว่างอิหร่านและอิสราเอลที่ดำเนินมาถึงวันที่ 10 ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับภูมิภาค แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือท่าทีของรัฐสภาอิหร่านที่สนับสนุนการ "ปิดช่องแคบฮอร์มุซ" เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ
ช่องแคบฮอร์มุซ ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการขนส่งน้ำมันโลก โดยมีเรือบรรทุกน้ำมันผ่านเข้าออกมากถึง 25% ของปริมาณการขนส่งทั้งโลก หากอิหร่านตัดสินใจปิดช่องแคบนี้ จะถือเป็นครั้งแรกที่ความขัดแย้งครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อซัพพลายน้ำมันโลก และจะผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แม้จะมีความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา และมีมาตรการตอบโต้ทางการค้าออกมา แต่ผลกระทบต่อกลุ่มพลังงานไทยยังคงอยู่ในวงจำกัด ในทางตรงกันข้าม ปัจจัยบวกจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางมีน้ำหนักมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด และเป็นตัวหนุนราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานระยะสั้น โดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ได้แก่ หุ้น PTTEP, PTTGC และ PTT
ด้านฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นจากภาวะสงครามถือเป็น sentiment เชิงบวกต่อ หุ้นในกลุ่มปิโตรเลียมทั้งหุ้น PTTEP, PTT, TOP, PTTGC, IRPC, SPRC,BCP โดยเลือก PTTEP เป็นหุ้นเด่น เนื่องจากได้รับผลบวกโดยตรงสุดของกลุ่ม
PTTEP มีรายได้แปรผันโดยตรงต่อราคาน้ำมันดิบ ขณะที่กลุ่มโรงกลั่นจะ ได้รับผลบวกในเชิง Stock Gain เพราะยังต้องดูค่าการกลั่นเป็นหลักว่า ราคาน้ำมันสำเร็จรูปจะปรับตัวขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบหรือไม่ ส่วน PTT นั้น อาจได้รับผลกระทบเชิงกระแสลบจากประเด็นกัมพูชา ตาม OR และ กลุ่มโรงกลั่น แม้ผลการดำเนินงานจะกระทบไม่มีนัยสำคัญก็ตาม
อย่างไรก็ตาม หากกรณีสงครามจบลง สถานการณ์กลับมาสู่ภาวะปกติ ราคาหุ้นของกลุ่มปิโตรเลียมอาจจะมีการปรับฐานได้ เพราะยังมีแรงกดดันรออยู่ ได้แก่ ทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวในช่วงที่เหลือของปี และการปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC+
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้