ราคาหุ้น AOT ปรับตัวลดลงอย่างหนักนับตั้งแต่ต้นปี 2568 มากกว่า 50% ท่ามกลางปัจจัยลบที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ล่าสุด บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ได้ส่งหนังสือถึง AOT เพื่อหารือถึงแนวทางการยกเลิกสัญญาประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) ในสนามบินหลักทั่วประเทศ ได้สร้างความกังวลต่อนักลงทุนอย่างมาก
สถานการณ์ของหุ้นขวัญใจนักลงทุนอย่าง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ สะท้อนผ่านราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงอย่างหนักนับตั้งแต่ต้นปี 2568 มากกว่า 50% ท่ามกลางปัจจัยลบที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน
ประเด็นที่ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ได้ส่งหนังสือถึง AOT เพื่อหารือถึงแนวทางการยกเลิกสัญญาประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) ในสนามบินหลักทั่วประเทศ ได้สร้างความกังวลต่อนักลงทุนอย่างมาก เนื่องจากรายได้ส่วนนี้ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยง AOT มาโดยตลอด
ปฏิเสธไม่ได้ว่าราคาหุ้น AOT ในปีนี้อยู่ในภาวะขาลงอย่างชัดเจน โดยปรับตัวลดลงไปแล้วมากกว่า 50% จากช่วงต้นปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงที่มากกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างเห็นได้ชัด
แรงกดดันสำคัญ มาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลงจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวการขอเจรจาเพื่อยกเลิกสัญญาของ "คิง เพาเวอร์" ซึ่งถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก เพราะกังวลว่ารายได้ในอนาคตของ AOT จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
หลังจากข่าวแพร่ออกไป AOT ได้ออกมาชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อย่างเป็นทางการ โดยยอมรับว่าได้รับหนังสือจาก คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี (KPD) จริง ซึ่งในหนังสือดังกล่าว KPD ได้ให้เหตุผลหลายประการที่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ จนประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอด และระบุว่าเป็น "เหตุสุดวิสัย" ที่ไม่ได้เกิดจากความผิดของบริษัทเอง
อย่างไรก็ตาม AOT ย้ำว่าวัตถุประสงค์ของหนังสือจาก KPD คือ "การขอหารือแนวทางแก้ไขปัญหา" เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ หรือหาข้อยุติอื่นๆ ที่เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งอาจรวมถึงแนวทางการยกเลิกสัญญา
ซึ่งปัจจุบัน AOT กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อหาแนวทางร่วมกับ KPD พร้อมทั้งเตรียม จัดจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อเข้ามาศึกษาและวิเคราะห์ทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมด เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อ AOT และเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการ ขณะเดียวกัน AOT ยืนยันว่า KPD ยังคงประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานต่างๆ ตามปกติ
ในมุมมองของนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองว่าปัญหาของคิง เพาเวอร์ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สัญญา Duty Free ในต่างจังหวัด (ภูเก็ต-เชียงใหม่-หาดใหญ่) เท่านั้น แต่น่าจะครอบคลุมไปถึงสัญญาทุกฉบับ ทั้ง Duty Free ที่สุวรรณภูมิและดอนเมือง รวมถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์อื่นๆ ด้วย
เนื่องจากผลประกอบการของคิง เพาเวอร์ ยังขาดทุน แม้ยอดขายจะกลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนโควิดแล้วก็ตาม ซึ่งสะท้อนว่าโครงสร้างค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) ในสัญญาปัจจุบันอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางธุรกิจ
บล.กรุงศรี ได้ประเมินความเสี่ยงต่อรายได้ของ AOT จากประเด็นนี้ไว้ที่ประมาณ 9,700 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12% ของรายได้รวม โดยคำนวณจาก 2 สมมติฐานหลัก คือ มีการปรับลดค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของทุกสัญญาจากคิง เพาเวอร์ลงประมาณ 45% จากสัญญาปัจจุบัน และผู้ประกอบการรายอื่นๆ (ซึ่งคิดเป็น 25% ของรายได้ส่วนนี้) อาจเข้ามาขอเจรจาในลักษณะเดียวกันด้วย
นอกจากนี้ ได้ปรับลดคำแนะนำจาก "ซื้อ" เป็น "ถือ" (Neutral) และ ปรับลดราคาเป้าหมายปี 2568 ลงเหลือเพียง 31.25 บาท จากเดิม 64.50 บาท อย่างไรก็ดี มองว่าราคาหุ้น AOT ที่ร่วงลงมาอย่างหนักกว่า 50% ได้สะท้อนปัจจัยลบและความกังวลต่างๆ ไปมากแล้ว และการเจรจาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายใน 2 เดือนข้างหน้านี้ อาจจะช่วยปลดล็อกความไม่แน่นอน (Overhang) ที่กดดันราคาหุ้นมาตลอด และนำไปสู่ความชัดเจนในท้ายที่สุด
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้