
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการจัดตั้งกระดานหลักทรัพย์ใหม่สำหรับหุ้นกลุ่ม New Economy ว่าคาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 3-4 เดือนข้างหน้า โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาโมเดลจากต่างประเทศและปรับให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย
"กระดานหุ้นใหม่ เรากำลังศึกษาอยู่คาดว่าจะชัดเจนภายใน 3-4 เดือนข้างหน้า ซึ่งเราดูโมเดลในหลายประเทศ อย่างในเวียดนามก็มีกระดานชนิดนี้ แต่เขาเอาบริษัททั้งหมดเข้ามา แต่เราทำแบบนั้นไม่ได้ เราต้องการคัดในเรื่องคุณภาพ" ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าว
แนวคิดเบื้องต้นของการจัดตั้งกระดานหุ้น New Economy มีหลายรูปแบบที่อาจนำมาใช้ เช่น การนำแพลตฟอร์ม LiVE มาดำเนินการ หรือการจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อดึงดูดบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ให้เข้ามาจดทะเบียน
นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดในการเปิดช่องทางให้บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ของไทยสามารถนำบริษัทลูกที่อยู่ในธุรกิจด้านเทคโนโลยีหรืออุตสาหกรรมใหม่เข้ามา ระดมทุนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีกำไร และอาจใช้เงินจาก กองทุนส่งเสริมพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อเข้าลงทุนในบริษัทกลุ่มนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
สำหรับความคืบหน้าของการจัดตั้งบัญชี TISA (Thai Individual Savings Account) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีกมาก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดเก็บภาษีของภาครัฐ ดังนั้นต้องพิจารณาว่าการเก็บภาษีในส่วนไหนจะกระทบกับภาครัฐเท่าไหร่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเป็นปี
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยในภาวะที่ซบเซาในปัจุจุบัน ส่วนตัวมองว่า นักลงทุนยังเข้าไม่ถึงข้อมูลการลงทุน โดยเฉพาะในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่ไม่มีบทวิเคราะห์ ซึ่งในอนาคตหากช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงมากขึ้นจะช่วยพัฒนาสร้างความคึกคักให้กับตลาดหุ้นไทยได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการดำเนินงานของ กองทุนส่งเสริมพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2563-2567) กองทุนยังคงสนับสนุนการเติบโตของตลาดทุนอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ โดย ณ สิ้นปี 2567 กองทุนมีเงินรวมทั้งสิ้น 5,900 ล้านบาท
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการขอรับทุน 201 โครงการ และจัดสรรทุนไป 153 โครงการ มูลค่ารวม 2,928 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 1,167 ล้านบาท, การให้ความรู้ด้านการเงินการลงทุน 878 ล้านบาท, การพัฒนาศักยภาพบุคลากรในตลาดทุน 878 ล้านบาท และการวิจัยและความรู้ตลาดทุน 328 ล้านบาท
ซึ่งในโครงการที่สำคัญ คือการศึกษาการจัดตั้ง TISA ในเมืองไทยให้เกิดขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบกลางสำหรับโบรกเกอร์ที่จะช่วยตรวจสอบข้อมูลของผู้ลงทุนระหว่างกัน เพื่อป้องกันปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้