
ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังเผชิญกับความผันผวนอย่างหนัก หลังจากการประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อสถานการณ์สงครามการค้าที่ยืดเยื้อ
ทั้งนี้ ดัชนีหลักในตลาดหุ้นเอเชียต่างปรับตัวลดลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในบางประเทศวันนี้ ด้านตลาดหุ้นไทยเปิดทำการซื้อขายปรับตัวลดลงอย่างหนัก อยู่ที่ 1,063.69 จุด ลดลง 61.52 จุด หรือ -5.47%
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ต่างเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังและ "อย่ารีบร้อนเข้าลงทุน" ในช่วงนี้ เนื่องจากสถานการณ์ความผันผวนและความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้ายังคงมีอยู่
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญกับความผันผวนอย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา เริ่มต้นจากความผิดพลาดเกี่ยวกับข่าวการชะลอการขึ้นภาษีสินค้าจีนของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งส่งผลให้ดัชนีพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ความหวังนั้นก็ดับลงอย่างรวดเร็วเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาชี้แจงว่าจะไม่มีการเลื่อนการเก็บภาษีแต่อย่างใด
เหตุการณ์นี้เอง ที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนอย่างรุนแรงตลอดทั้งช่วงเวลาเปิดทำการซื้อขาย และทำให้ดัชนีหลักอย่าง Dow Jones และ S&P 500 ต่างปิดในแดนลบ สะท้อนถึงความกังวลต่อสถานการณ์สงครามการค้าที่ยืดเยื้อ ดังนี้
ทั้งนี้ ผลกระทบจากสงครามการค้าที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นเอเชียยังคงน่ากังวลเช่นกัน สะท้อนจากดัชนีหลักในตลาดหุ้นเอเชียต่างปรับตัวลดลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เช้านี้พบว่าดัชนีตลาดหุ้นบางแห่งเริ่มสามารถฟื้นตัวในแดนบวกได้
ขณะที่ ดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ SET Index หลังจากหยุดทำการไปเมื่อวาน เปิดตลาดเช้านี้ปรับตัวลดลงอย่างหนัก ณ เวลา 11.00 น.อยู่ที่ 1,063.69 จุด ลดลง 61.52 จุด หรือ -5.47%
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือสถานการณ์ความผันผวนและความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า โดยนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ชี้ว่ายังมีความเสี่ยง และแนะนำว่า “อย่าพึ่งเร่งร้อนเข้าลงทุน”
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานแรงในช่วงเมื่อวานที่ผ่านมา เพราะแรงกดดันจากภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯกับประเทศต่างๆ ซึ่งบางประเทศก็ส่งสัญญาณต้องการเจรจากับสหรัฐฯ แต่บางประเทศก็ไม่ต้องการเจรจาและกลับใช้นโยบายที่เข้มงวดต่อสหรัฐฯ เช่นกัน
สำหรับประเทศไทยในวันที่ 8 เม.ย. คณะทำงานของรัฐบาลจะสรุปแนวทางด้านภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อีกครั้ง พร้อมเตรียมส่งรัฐมนตรีคลังไปเจรจากับสหรัฐฯ ในเร็วๆ นี้ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยข้างต้นยังใช้ระยะเวลา และคงไม่น่าจะเห็นผลต่อเศรษฐกิจไทยในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ สิ่งอื่นใดก็คือเศรษฐกิจโลกคงเผชิญกับภาวะชะงัก เชื่อว่าผู้ประกอบการทั่วโลกจะหยุดการลงทุนท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจ แต่การหยุดการลงทุนจะนำมาซึ่งปัญหาเรื่องเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนเสี่ยงเผชิญกับการปรับลดประมาณการเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้น แม้หุ้นทั่วโลกรวมถึงหุ้นไทยจะปรับลงมาแล้วจนทำให้ Valuation ไม่แพงและค่อนข้างไปในทางถูกมาก (Under Value) แต่เชื่อว่าการปรับขึ้นยังเป็นไปได้ยาก แนะนักลงทุนอย่าพึ่งเร่งร้อนเข้าลงทุน
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ หลังประกาศไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนหนัก ค่าเงินอ่อนค่าลงโดยเฉพาะค่าเงินเอเชีย และกระทบสินค้า Commodity อื่นๆ อีกมาก
สัปดาห์นี้รอติดตามการเข้าเจรจาของผู้นำในหลายๆ ประเทศ เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น อาจมีการประกาศผ่อนคลาย บางแหล่งระบุยืดเวลาไปอีก 90 วัน หรือการตอบโต้ของประเทศที่โดนเรียกเก็บภาษีอย่างไม่เป็นธรรม มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยหลักในสัปดาห์นี้ที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวนต่อ
ขณะที่ ตลาดหุ้นไทยก็ถูกกดจากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจจากภาษีการค้าของสหรัฐฯ ดัชนีฯ น่าจะลงต่ำสุดในสัปดาห์นี้ ประเมินไว้ 1,100-1,110 จุด มองว่าหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า หุ้นขนาดใหญ่ที่จะถูกขายโดยนักลงทุนต่างชาติ กลยุทธ์ ยังคงแนะนำทยอยสะสมหุ้น Domestic Play
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้