
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด หรือ InnovestX เปิดมุมมองการลงทุนไตรมาส 2/68 ประเมินเป้าหมายดัชนี SET Index ที่ระดับ 1,300-1,350 จุด แม้จะเผชิญกับภาวะตลาดหมีและความท้าทายจากไตรมาสแรก แต่ชี้ว่าราคาหุ้นไทยในปัจจุบันได้ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่ "ถูก" ทำให้ Downside ของตลาดเริ่มจำกัด และมีโอกาสฟื้นตัว โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่คาดว่าจะทยอยออกมา
โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบ "Selective Buy" โดยมุ่งเน้นหุ้นคุณภาพสูงที่มี Valuation สมเหตุสมผลและมีแนวโน้มกำไรเติบโต พร้อมเปิดลิสต์ 5 หุ้นเด่น ที่เชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่เอาชนะตลาดได้ ดังนี้
สุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่าภาพรวมการลงทุนในไตรมาส 1/68 ที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายและมีแรงกดดันสูง โดยเฉพาะประเด็นความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยที่ลดลง ส่งผลให้ผลตอบแทนของ SET Index อยู่ในระดับที่อ่อนแอ
ขณะที่ภาพการลงทุนในตลาดหุ้นโลก ประเด็นความกังวลเรื่องสงครามการค้าหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบเร็วกว่าที่คาดการณ์ กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนตลาดหุ้นจีน เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวบ้าง หลังรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
แม้จะมีกระแสข่าวว่า SET Index อาจปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 1,000 จุด แต่เมื่อพิจารณาจาก Valuation ปัจจุบันที่ลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำมากแล้ว มองว่า Downside ของตลาดเริ่มจำกัด โดยประเมินแนวรับสำคัญอยู่ที่บริเวณ 1,100 - 1,130 จุด ซึ่งถือเป็นระดับที่ราคาหุ้นไทยถูกมาก และมีโอกาสฟื้นตัวได้
ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยจำกัด Downside และหนุนการฟื้นตัวของตลาดในไตรมาส 2/68 คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่คาดว่าจะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่
สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น สุทธิชัย ให้ความเห็นว่าเป็นปัจจัยกระทบชั่วคราว ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ และส่งผลกระทบบางกลุ่มอุตสาหกรรมในระยะสั้นเท่านั้น นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับทิศทางผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สะท้อนทิศทางตลาดหุ้นได้อย่างแท้จริง
สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ประเมินว่า เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2/68 จะอยู่ที่ 1,300-1,350 จุด โดยมองว่าสงครามการค้า มีผลกระทบจำกัด ซึ่งหลักๆ หุ้นที่มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ มีไม่มาก
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยดูน่าสนใจมากขึ้น จาก Valuation ที่ต่ำลง ปัจจุบันเทรดที่ Discount เทียบกับ Peers แล้ว ถือว่ามีความเหมาะสม จากอดีตไม่เคยเทรดที่ Discount ทั้ง เอเชีย และ หุ้นโลก โดยชี้ให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยมีหุ้นบางตัวที่แพงเท่านั้น
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันกำลังอยู่ในภาวะตลาดหมี (Bear Market) โดยเมื่อเปรียบเทียบการปรับฐานลงกว่า 20% ครั้งนี้กับเหตุการณ์คล้ายคลึงกันในอดีตตั้งแต่ปี 2553 พบว่ามีลักษณะร่วมบางประการที่จุดต่ำสุดของตลาด
อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดหมีจะสิ้นสุดลงนั้นถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทาย เนื่องจากต้องอาศัยปัจจัยหนุนหลายประการที่เคยเกิดขึ้นในอดีตก่อนตลาดจะฟื้นตัว ได้แก่ การไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย, เศรษฐกิจจีนกลับมาขยายตัว, เงินบาทแข็งค่าขึ้น, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลงโดยไม่กังวลต่อเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้น, รวมถึงราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 2/2568 ท่ามกลางความผันผวนของตลาด InnovestX แนะนำเน้นกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงที่มี Valuation สมเหตุสมผลและมีแนวโน้มกำไรเติบโต การคัดเลือกนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าบริษัทเหล่านี้มีงบดุลแข็งแกร่ง
และเป็นหุ้นเชิงรับที่มีสัดส่วนรายได้ในประเทศสูง สามารถรับมือกับความผันผวนภายนอกและได้ประโยชน์จากโมเมนตัมการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนในประเทศ รวมถึงมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ
โดยได้คัดเลือกหุ้นเด่น 5 ตัว ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด ได้แก่ BCH, CPALL, CPF, KTB, และ TRUE แม้จะต้องเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและความเสี่ยงด้านภาษีจากสหรัฐฯ ก็ตาม แต่ละบริษัทมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว
นอกจากนี้ ท่ามกลางความผันผวนของตลาดจากความกังวลผลกระทบแผ่นดินไหวและสงครามการค้า InnovestX แนะนำกลยุทธ์ "Selective Buy" โดยเน้นลงทุนใน 3 ธีมหลัก ได้แก่
1.หุ้นเป้าหมายกองทุน ThaiESGX ที่คาดว่ากำไรปี 2568 จะเติบโต มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ (เช่น ADVANC, BBL, BDMS, CPALL, PTT, BCH, BTG)
2.หุ้นปันผลคุณภาพดี ที่มีสถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องยาวนาน และคาดให้ผลตอบแทนจากปันผลจากกำไรปี 2567 สูงกว่า 4% (เช่น KTB, BBL, KBANK)
3.หุ้น Undervalued ในกลุ่ม SET100 ที่คาดว่ากำไรปี 2568 จะเติบโต มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง ซื้อขายที่ P/E และ P/BV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย มีปันผล และมี SET ESG Ratings ดี (เช่น MTC, MINT, AMATA, BJC, CPF)
นอกจากนี้ ยังมีธีมสำหรับการเก็งกำไรระยะสั้นสำหรับผู้รับความเสี่ยงได้สูง เช่น หุ้นที่คาดว่าได้ผลบวกทางอ้อมจากเหตุแผ่นดินไหว (HMPRO, SCCC), หุ้น Domestic Play (CPALL, ADVANC) และหุ้นรับอานิสงส์เทศกาลสงกรานต์ (CPAXT, CPALL, MINT, BCH, BDMS) เป็นต้น
ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญความกังวลจากความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจใช้มาตรการทางภาษี เนื่องจากไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่ม "Dirty 15" ที่มีตัวเลขเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 46 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567
แม้ล่าสุดจะมีสัญญาณว่ามาตรการที่อาจประกาศใช้จะผ่อนปรนกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงแรก โดยอาจไม่รวมปัจจัยที่ไม่ใช่ภาษี เช่น VAT หรือการกดค่าแรงเข้ามาคำนวณในอัตราภาษีตอบโต้ แต่ความไม่แน่นอนก็ยังคงอยู่
ทั้งนี้ InnovestX ได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์ ชี้ให้เห็นว่า หากสหรัฐฯ มีการเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) จริง จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเติบโตของ GDP ไทย
โดยคาดว่าหากมีการเก็บภาษีในอัตรา 6% ถึง 16% จะทำให้ GDP ไทยขยายตัวได้เพียง 1.3% ถึง 2.2% ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่ากรณีฐานที่คาดว่าจะโต 2.5% (หากไม่มีภาษีเพิ่มและมีการลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง)
แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายโดยการลดดอกเบี้ยลงหลายครั้งเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจก็ตาม ดังนั้น การดำเนินการด้านภาษีของสหรัฐฯ จึงถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้