
ประเด็นร้อนที่นักลงทุนต้องจับตา เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” ผุดแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเสนอแนวคิดการซื้อหนี้จากธนาคารพาณิชย์ออกมาเพื่อให้ประชาชนสามารถทยอยผ่อนชำระได้ง่ายขึ้นนั้น
กระทรวงการคลัง ระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างพิจารณาและศึกษาวิธีการดำเนินโครงการดังกล่าว ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างมองว่า หากดำเนินการจริง จะส่งผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ในแง่ของรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง แต่คุณภาพสินทรัพย์จะดีขึ้น พร้อมเปิดความเป็นไปได้ในการ “ซื้อหนี้” ของรัฐบาลครั้งนี้
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ปัจจุบันหนี้เสีย หรือ NPLs อยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ขณะที่หนี้เพื่อการบริโภคและบัตรเครดิตมีมูลค่ารวม 5.5 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 30.7% ของหนี้ธนาคารพาณิชย์รวม 18.1 ล้านล้านบาท
หากดำเนินโครงการจริง คาดว่าการซื้อหนี้จะเน้นไปที่หนี้ปกติ (หนี้ดี) มากกว่าหนี้เสีย ซึ่งอาจกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ และส่งผลต่อหุ้นกลุ่มที่ปล่อยสินเชื่อรายย่อยด้วย
ด้านฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ความสำเร็จของนโยบายนี้อยู่ที่การจัดหาแหล่งเงินทุน ขณะที่การบริหารหนี้รายย่อยซึ่งมีจำนวนมาก เป็นจุดแตกต่างกับการแก้ปัญหาสินเชื่อธุรกิจ ทั้งนี้ ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์มีการบริหารหนี้เสียผ่านการขายให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) อยู่แล้ว
กรณีที่มีมาตรการเกิดขึ้น ในระยะสั้นแม้การซื้อหนี้เสีย และ STAGE 2 จะกระทบรายได้ของธนาคารพาณิชย์ตามสินเชื่อที่ลดลง แต่จะได้ประโยชน์ฝั่งคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น และทำให้ทิศทางต้นทุนสำรองหนี้เสียลดลง (Credit Cost) ลดลง เข้ามาชดเชยรายได้
บล.เอเซีย พลัส ชี้ให้เห็นว่า การซื้อหนี้ครั้งนี้ อาจเน้นไปที่สินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ภาคเอกชนสนใจ เนื่องจากมีสินทรัพย์ค้ำประกัน ส่วนธนาคารพาณิชย์เองก็น่าจะต้องการขายสินเชื่อประเภทนี้หากได้ราคาที่เหมาะสม เพราะโดยทั่วไปแล้ว สินเชื่อบ้านมีสภาพคล่องต่ำ เมื่อเทียบกับสินเชื่อรถยนต์หรือบัตรเครดิตที่สามารถ Write-off หรือขายออกได้รวดเร็ว
ส่วนระยะยาวระดับหนี้เสียที่ลดลงในงบดุลของธนาคาร จะช่วยสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อของธนาคารระยะถัดไป รวมถึงหนุนต่อระดับเงินกองทุน เอื้อให้เกิดการบริหารโครงสร้างเงินทุนในลำดับถัดไป ทั้งการเพิ่มนโยบายปันผลและซื้อหุ้นคืน โดยธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อบ้านสูง นำโดย SCB TTB และ KTB
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จากการรวบรวมข้อมูลทีมกลยุทธ์ พบว่า ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนไทย สิ้นสุดไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 16.3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 89% ของเศรษฐกิจไทย (GDP) สินเชื่อหลักๆ ได้แก่
ขณะที่เป็นสินเชื่อที่เป็นหนี้เสียปัจจุบันสูง 1.2 ล้านล้านบาท (8.8% ของสินเชื่อรวม) โดยกลุ่มที่มีหนี้เสียสูงหลักๆ คือ สินเชื่ออื่นๆ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ ดังนั้น ประเมินความคืบหน้าดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น คาดสร้างความคาดหวังเชิงบวกต่อหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศต่อเนื่อง โดยเฉพาะแนวทางการซื้อหนี้เฉพาะกลุ่มหนี้เสีย ซึ่งธนาคารมักขายกลุ่มที่มีโอกาสเรียกชำระคืนยาก คือ ตั้งสำรองไปแล้วทั้งหมด
ทำให้การขายจะเป็นบวกต่อธนาคาร นอกจากนี้ จะเป็นบวกเช่าซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มติดตามหนี้ ที่มีโอกาสเห็นอัพไซด์จากการรับจ้างตามหนี้ รวมถึงค้าปลีกอื่นๆ ในด้านกำลังซื้อภายในประเทศที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ผลบวกจะมากหรือน้อย ในท้ายที่สุดขึ้นอยู่แนวทางธนาคารต่างๆ หลังขายหนี้ ว่าจะกลับมาปล่อยสินเชื่อตามปกติหรือไม่
อ่านข่าวหุ้นและการลงทุนกับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney