
ครั้งหนึ่ง TIDLOR เคยเป็นหุ้นไอพีโอสุดฮ็อตเมื่อ 4 ปีก่อน แต่วันนี้หุ้นกลับลดลงกว่า 54% จากราคาเสนอขาย แม้รายได้และกำไรสุทธิยังเติบโตต่อเนื่อง นักลงทุนกำลังตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับหุ้นตัวนี้ อย่างไรก็ตาม TIDLOR ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญสู่การปรับโครงสร้างเป็น “Tidlor Holdings” เพื่อปลดล็อกศักยภาพธุรกิจในอนาคต นี่จะเป็นผลดีต่อราคาหุ้นและเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนหรือไม่?
บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TIDLOR อดีตหุ้นไอพีโอที่เป็นกระแสดังเมื่อ 4 ปีก่อน ดาวรุ่งกลุ่มไฟแนนซ์ที่นักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยต่างให้ความสนใจ โดยเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 เปิดเทรดวันแรกราคาพุ่งกว่า 46.57% จากราคาเสนอขายที่ 36.50 บาท
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ราคาหุ้นกลับปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันเหลือเพียง 16.60 บาทเท่านั้น (ณ ราคาปิด 7 มี.ค. 68) หรือลดลงจากราคาไอพีโอกว่า 54% แม้ผลประกอบการ 5 ปี ย้อนหลัง รายได้และกำไรสุทธิจะเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งประเด็นสำคัญที่นักลงทุนมีความกังวลนั้น ส่วนหนึ่งมาจากคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL ratio) ของ TIDLOR มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และการเพิ่มขึ้นของ NPL ratio นี้ส่งผลให้นักวิเคราะห์บางรายปรับลดประมาณการกำไร จากคาดว่าอาจต้องเพิ่มการตั้งสำรองหนี้สูญ
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้พยายามควบคุม NPL ratio ให้อยู่ในระดับต่ำ โดยในปี 2567 บริษัทสามารถควบคุมให้อยู่ที่ 1.81% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่เกิน 2%
แต่แม้ว่าบริษัทจะมีมาตรการในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ แต่ความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากธนาคารต่างๆ ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันราคาหุ้น
นอกจากนี้ การจ่ายเงินเป็นผลเป็นหุ้นของ TIDLOR ยังส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นด้วย ซึ่งแม้ว่าจำนวนหุ้นที่ถือจะเพิ่มขึ้น แต่มูลค่ารวมของการลงทุนอาจไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงตามสัดส่วนที่จ่ายปันผล โดยนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ TIDLOR จ่ายปันผลเป็นหุ้น จำนวน 3 ครั้ง
TIDLOR กำลังดำเนินแผนปรับโครงสร้างองค์กรโดยจัดตั้ง บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “Tidlor Holdings” ซึ่งเป็นบริษัทลงทุน (Holding Company) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อและนายหน้าประกัน ซึ่ง “ปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้บริษัทสามารถบริหารจัดการธุรกิจแต่ละประเภทได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงลดความเสี่ยงและเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจในอนาคต
ทั้งนี้ ยังช่วยให้บริษัทสามารถลดภาระภาษีและจัดการนโยบายการจ่ายปันผลได้ดีขึ้นด้วย ซึ่งที่ผ่านมาต้องเลือกวิธีการจ่ายปันผลเป็นหุ้น เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจและรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้ไม่เกิน 7 เท่า ตามกฎหมาย เพราะ บมจ.เงินติดล้อ ถือเป็น “นิติบุคคลต่างด้าว” จาก 61% เป็นผู้ถือหุ้นต่างชาติ
ปัจจุบันแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์พร้อมการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (แบบ 69/247-1) ของ “Tidlor Holdings” ได้มีผลใช้บังคับแล้วเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 และจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ TIDLOR จากผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ โดยออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญของบริษัทฯ (Tender Offer) ในอัตราแลกเปลี่ยน 1 หุ้นสามัญของ TIDLOR ต่อ 1 หุ้นสามัญของ Tidlor Holdings
และเปิดให้ผู้ถือหุ้น TIDLOR ทำการแลกหุ้นในช่วงระหว่าง วันที่ 10 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 16 เมษายน 2568 เวลา 9.00 น. – 16.00 น. (เฉพาะวันทำการ) ซึ่งผู้ถือหุ้นจำเป็นต้องดำเนินการ “ตอบรับ” คำเสนอซื้อหลักทรัพย์ด้วยตนเอง (กระบวนการแลกหุ้นจะไม่เป็นไปโดยอัตโนมัติ)
ฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ชี้ให้เห็นว่า กระบวนการปรับโครงสร้างเป็น Holding company ไม่ได้มีผลต่อสมมติฐานในการทำประมาณการกำไรมากนัก โดยด้านดีของการปรับโครงสร้างเป็น Holding Company จะช่วยลดความจำเป็นในการจ่ายหุ้นปันผลแบบในอดีต เพราะ Holding Company ไม่มีข้อจำกัดการดำรง D/E ตามเกณฑ์ Foreign Business License (FBL) เบื้องต้นจากการสอบถามไปยังบริษัทฯ หุ้นของ Holding company จะเข้าซื้อขาย ไม่เกิน 7 วันทำการ หลังทำ Tender วันสุดท้าย
ทั้งนี้ ประมาณการกำไรสุทธิปี 2568-2569 เติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปี อยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท และ 5.2 พันล้านบาท หลักๆ มาจากสมมติฐานสินเชื่อโตเฉลี่ย 11% ต่อปี และ Cost of fund ลดลงในปี 2569 ตามวงจรดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ในเชิงกลยุทธ์ช่วงระหว่างการทำ Tender offer จะทำให้สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นลดลง อาจเป็นเหตุให้ราคาหุ้นผันผวนได้ แต่มองระดับราคาที่มี P/E ต่ำกว่า 10 เท่า ถือว่าน่าสนใจในทางพื้นฐาน โดยแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 19.40 บาท
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ผู้บริหารคาดว่า การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์และการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ Tidlor Holdings จะเสร็จสิ้นภายในครึ่งแรกของปี 2568 โดยหลังเป็นบริษัทโฮลดิ้งแล้ว ยังเชื่อว่า TIDLOR อาจสามารถเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลให้สูงกว่า 30% ในระยะกลางถึงยาวได้
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรปี 2568 จะเติบโต 16% จาก 12% ในปี 2567 คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วย ราคาเป้าหมายที่ 23 บาท
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney