
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เผยเตรียมเสนอแก้กฎหมายหลายฉบับในครั้งเดียว (Omnibus Law) เพื่อเร่งสนับสนุนโครงการต่างๆ ในการฟื้นความเชื่อมั่นและความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยให้เกิดขึ้นได้เร็ว เช่น โครงการซื้อหุ้นคืน โครงการ Jump+ รวมถึงการดึงดูดบริษัทในอุตสาหกรรมใหม่เข้ามาจดทะเบียน โดยเชื่อว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนได้ใน 3-6 เดือนข้างหน้า
ล่าสุด เผยแนวคิดออกโครงการส่งเสริมการออมระยะยาว “TISA” หรือ Thailand Individual Saving Account โดยจะให้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี เพื่อจูงใจให้ประชาชนเก็บออมเงินเพื่อการเกษียณผ่านการซื้อหุ้นไทย เชื่อว่าจะช่วยฟื้นดัชนีตลาดหุ้นไทยได้
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแนวคิดที่จะจัดตั้งโครงการ TISA (Thailand Individual Saving Account) ซึ่งเป็นโครงการที่ส่งเสริมการออมระยะยาวสำหรับประชาชน จากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเองอย่างต่อเนื่องเพื่อรับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีโดยตรง เชื่อว่าจะสามารถช่วยเพิ่มสภาพคล่องและหนุนดัชนีให้ฟื้นตัวในระยะถัดไปได้
โดยโครงการดังกล่าว คาดว่าจะสามารถจูงใจผู้มีรายได้ต้องเสียภาษี ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการศึกษาการดำเนินการโครงการลักษณะนี้ในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น พบว่าได้ผลเป็นอย่างดี
สำหรับหลักเกณฑ์ว่าจะมีสิทธิประโยชน์หรือข้อกำหนดอย่างไรนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังอยู่ระหว่างศึกษาร่วมกับกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) โดยได้มีการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปเบื้องต้นแล้ว และคาดว่าจะนำเสนอและหารือกับกระทรวงการคลังต่อไป
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างเร่งดำเนินโครงการ Jump+ ให้เกิดขึ้นได้เร็ว ซึ่งจะทำให้บริษัทในตลาดหุ้นไทยมีผลประกอบการที่ดีขึ้น และสร้างมูลค่าเพิ่มได้ จากปัจจุบันหลายหลักทรัพย์มีราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี เชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนหุ้นคุณค่า (VI) และนักลงทุนสถาบัน จะเห็นความสำคัญของบริษัทที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวมากขึ้น
ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการจูงใจบริษัทจดทะเบียนให้เข้าร่วมโครงการด้วยการสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกำไรที่สามารถทำเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะสามารถเกิดขึ้นได้เร็ว เนื่องจากไม่ต้องมีการแก้กฎหมาย และแก้ไขเพียงกฎระเบียบต่างๆ เท่านั้น โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการคลัง สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
“โครงการนี้ถูกพิสูจน์แล้วโดยตลาดหุ้นต่างประเทศว่าทำให้ตลาดหุ้นดีขึ้น เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งอยากให้บริษัทดีๆ ในตลาดหลักทรัพย์เริ่ม active มากขึ้น”
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์มีแนวคิดในการสนับสนุนโครงการซื้อหุ้นคืน หรือ Treasury Stock โดยจะมีการเสนอแก้ข้อกฎหมายในพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อยกเลิกข้อจำกัดให้บริษัทจดทะเบียนสามารถดำเนินการได้ง่ายขึ้น
เช่น ยกเลิกเพดานการซื้อหุ้นคืนจากเดิม 10% หรือสามารถทำโครงการใหม่ได้ต่อเนื่อง จากเดิมต้องรอ 6 เดือน โดยเชื่อว่าการซื้อหุ้นคืนนั้น จะช่วยทำให้บริษัทต่างๆ มีมูลค่าทางบัญชีดีขึ้น และให้โอกาสจ่ายเงินปันผลมากขึ้นด้วย ซึ่งปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ได้รับเรื่องนี้ไปพิจารณาแล้ว
ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแนวคิดในการจัดโครงสร้างหุ้นสองระดับ (Dual Class) เพื่อสร้างความน่าสนใจให้บริษัทที่ดีเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น จากเดิมที่เจ้าของบริษัทอาจกลัวเสียอำนาจควบคุม ขณะเดียวกัน อยู่ระหว่างดำเนินการร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อแก้กฎหมายในการสนับสนุนให้บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมใหม่ (New Economy) นำมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้ง่ายขึ้น
พร้อมกันนี้ มีแนวคิดในการยกเลิกเรื่องเกณฑ์การเข้าจดทะเบียน ที่ต้องมีกำไรย้อนหลัง (Profit test) ทำให้บริษัทเหล่านี้เข้าจดทะเบียนได้เร็วขึ้น เพื่อสร้างระบบนิเวศในการสนับสนุนการเติบโตของ Startups ในอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีความโดดเด่น กลุ่มเฮลธ์แคร์ เทคโนโลยี และผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยเป็น Regional Listing Hub ในอนาคต
ซึ่งอาจมีการปรับปรุงจากกระดาน LiVEx เดิม หรือสร้างกระดานใหม่ โดยจะจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ (High Networth) เท่านั้น เนื่องจากยังมีความเสี่ยงสูง แต่เชื่อว่าจะทำให้เกิดเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ และสร้างความน่าสนใจในตลาดหุ้นไทยได้มากขึ้น
ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า คาดหวังว่าจะเห็นโครงการต่างๆ ออกมาได้ภายใน 3-6 เดือนนับจากนี้ โดยมองว่าจะต้องมีการแก้กฎหมายหลายฉบับในครั้งเดียว (Omnibus Law) เช่น กฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายบริษัทมหาชน กฎหมายส่งเสริมการลงทุน กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น เพื่อลดข้อติดขัดในการส่งเสริมโครงการต่างๆ
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้