จัดพอร์ตรับความผันผวน บลจ.กสิกรไทย แนะกระจายเสี่ยง ผ่าน “กองทุนผสม” สร้างผลตอบแทนระยะยาว

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

จัดพอร์ตรับความผันผวน บลจ.กสิกรไทย แนะกระจายเสี่ยง ผ่าน “กองทุนผสม” สร้างผลตอบแทนระยะยาว

Date Time: 6 มี.ค. 2568 15:29 น.

Video

เมื่อเด็ก ป.6 (11 ขวบ) สร้างรายได้ "หลักแสน" แซงหน้าคนทำงาน! l Money Secret EP.12

Summary

ตลาดการลงทุนเผชิญกับความผันผวน โดย บลจ.กสิกรไทย แนะนำกลยุทธ์จัดพอร์ตผ่าน “กองทุนผสม” เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว

Latest


ตลาดการลงทุนทั่วโลกยังเผชิญกับความผันผวน จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและความไม่แน่นอน โดยเฉพาะนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย แนะนำกลยุทธ์จัดพอร์ตผ่าน “กองทุนผสม” รับมือความผันผวน พร้อมชู “Life Path Model” ปรับพอร์ตอัตโนมัติตามช่วงอายุ สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่มั่นคง

เปิดกลยุทธ์จัดพอร์ตรับความผันผวน สร้างผลตอบแทนระยะยาว

วิน พรหมแพทย์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดี ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่อาจทำให้ตลาดมีความผันผวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีข่าวสารที่ส่งผลต่อตลาดเกิดขึ้นตลอดเวลา

ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน แนะนำให้พิจารณากองทุนผสม ซึ่งมีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ช่วยให้พอร์ตมีเสถียรภาพมากขึ้น และสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้เหนือค่าเฉลี่ย

กลยุทธ์การจัดพอร์ตที่ บลจ.กสิกรไทย แนะนำ คือการแบ่งพอร์ตออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. Core Portfolio (80%) เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงในตลาดทั่วโลก และ 2. Satellite Portfolio (20%) เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพให้ผลตอบแทนสูงขึ้น แต่มีความเสี่ยงมากขึ้น

นอกจากนี้ อีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจ คือ Life Path Model หรือการจัดพอร์ตตามช่วงอายุ โดยแนวคิดหลักคือ หากอายุยังน้อยสามารถรับความเสี่ยงได้มาก จึงควรลงทุนหุ้นในสัดส่วนสูง แม้จะมีความผันผวน แต่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่หากอายุมากขึ้นควรลดความเสี่ยง และเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้ เพื่อรักษาเงินต้นและสร้างความมั่นคง

โดยระบบนี้จะมีการปรับพอร์ตโดยอัตโนมัติทุกวันเกิดของนักลงทุนในแต่ละปี ทำให้สามารถควบคุมความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย ซึ่งปัจจุบันได้รับผลตอบรับที่ดีจากนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยของนักลงทุนคือการจับจังหวะตลาดที่ผิดพลาด โดยแนะนำว่าการลงทุนระยะยาวและการจัดพอร์ตอย่างเหมาะสม สำคัญกว่าการปรับพอร์ตบ่อยครั้ง เพราะอาจทำให้เสียโอกาสจากแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว

“หากต้องการให้พอร์ตมีเสถียรภาพ อย่าปรับพอร์ตบ่อยจนเกินไป”

จับตานโยบายทรัมป์ “ป่วนตลาด” หรือ “โอกาสลงทุน”

บลจ.กสิกรไทย ชี้ให้เห็นว่า การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดการลงทุนทั่วโลก โดยนโยบาย “America First” ส่งสัญญาณถึง 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การตั้งกำแพงภาษี, การจำกัดแรงงานอพยพ และการลดบทบาทกลาโหมกับ NATO เพื่อเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้น คาดว่าจะสร้างความผันผวนอีกสักระยะ

แต่หากนักลงทุนสามารถจับจังหวะ และวิเคราะห์แนวโน้มได้ดี ก็อาจเป็นโอกาสในการเข้าสะสมสินทรัพย์ลงทุนเพิ่มเติมได้เช่นกัน

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด กองทุนซีรีส์ K-Wealth Plus เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ โดยมี 3 กองทุนย่อย ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล

กองทุนดังกล่าวเป็น กองทุนรวมผสม ที่กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งในและต่างประเทศ โดยลงทุนผ่าน กองทุนรวมตั้งแต่ 2 กองขึ้นไป เพื่อช่วยลดความเสี่ยง และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมในแต่ละช่วงของวัฏจักรเศรษฐกิจด้วย

ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสสะสม เน้นหุ้นปันผลสูง
สำหรับตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงกว่า 13% จากต้นปี สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตช้ากว่าคาดการณ์ โดยในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 2.5% ต่ำกว่าระดับก่อนโควิดที่เติบโตมากกว่า 3% ส่งผลให้ราคาหุ้นและกำไรของบริษัทจดทะเบียนชะลอตัว

อย่างไรก็ตาม ปี 2568 นี้คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว เนื่องจากฐานที่ต่ำในปีที่แล้ว แม้ว่าการเติบโตต่ำกว่าคาดอาจกดดันตลาด แต่ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ EPS Growth ปีนี้จะขยายตัวได้ ซึ่งจะช่วยหนุน Sentiment เชิงบวก

โดยดัชนีที่ระดับต่ำกว่า 1,200 จุด ถือเป็นระดับเดียวกับช่วงโควิด-19 ทั้งที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้แล้ว ทำให้มองว่ามี Downside จำกัด และมูลค่าทางปัจจัยพื้นฐาน เช่น P/BV และ P/E อยู่ในระดับต่ำ สะท้อนโอกาสในการเข้าลงทุน

ทั้งนี้ พบว่าหุ้นปันผลสูงยังคงให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดโดยรวม โดยดัชนี SETHD ซึ่งรวมบริษัทที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง มีผลตอบแทนรวม (Total Return) สูงกว่า SET Index 5 ปีย้อนหลัง (ตั้งแต่ปี 2563) ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนระยะยาว

หากพิจารณาจากมูลค่าหุ้นในเชิง P/E และมีสมมติฐานว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนไม่เติบโตเลย Downside คาดว่ากรณีเลวร้ายที่สุด (Worst Case) ดัชนีจะอยู่ที่ 1,050 จุด แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดัชนีหลังมีการปรับคาดการณ์ EPS ลดลงแล้ว มีโอกาสขึ้นไป 1,350 จุด

แม้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตต่ำ แต่ยังมีหุ้นขนาดใหญ่ที่เหมาะกับการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มที่สามารถให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างมั่นคง เช่น กลุ่มธนาคาร ที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างน่าสนใจ และกลุ่มสื่อสาร หลังการควบรวมกิจการช่วยลดการแข่งขัน และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การโยกเม็ดเงินจากกองทุน LTF ไปยังกองทุน Thai ESGX จะช่วยซัพพอร์ตตลาด และลดแรงขายต่อเนื่องของนักลงทุน เนื่องจากเงินที่โยกเข้าสู่กองทุนใหม่นั้น นักลงทุนยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

วิน พรหมแพทย์ กล่าวอีกว่า บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) สู่ 2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2570 จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านบาท โดยมุ่งมั่นว่าจะเป็น บลจ. ที่ได้รับความเชื่อมั่นและเชื่อใจจากนักลงทุน จากการสร้างประสบการณ์การลงทุนที่ดีให้กับลูกค้า เสริมความแข็งแกร่งของพาร์ทเนอร์ทั้งธนาคารกสิกรไทยและเจ.พี.มอร์แกน (JPMAM) รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยเทคโนโลยี AI และ RPA ด้วย

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment 
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ