
ในยุคที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญความท้าทายอย่างหนัก โบรกเกอร์แบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถตอบโจทย์นักลงทุนได้อีกต่อไป บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เดินหน้าธุรกิจโดยเน้นพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล ขยายบริการด้าน Wealth Management เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนทุกระดับ ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวน พร้อมเตรียมออก DR เพิ่มอีก 5 หลักทรัพย์ มุ่งเน้นหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีความผันผวนสูง เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรในระยะสั้นได้มากขึ้น
ณัฐพล จันทร์สิวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ร่วม) บล.พาย เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมา สถานการณ์ในตลาดหุ้นไทยมีความท้าทายอย่างมาก ดังนั้น การเป็นโบรกเกอร์แบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ทำให้ บล.พาย ต้องเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล และขยายการให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการลงทุนได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
จากกลยุทธ์ดังกล่าว ส่งผลให้ในปี 2567 บริษัทมียอดการเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 40% ขณะที่แอปพลิเคชันการลงทุนของบริษัทมียอดดาวน์โหลดกว่า 140,000 ครั้ง ปัจจุบันมีลูกค้าเกือบ 1 แสนราย และ Active อยู่ที่ 20% หรือ 2 หมื่นราย ซึ่งจะเดินหน้าขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การขยายบริการด้าน Private Wealth ในปีที่ผ่านมามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUA) เติบโตมากกว่า 50% และจะโฟกัสธุรกิจนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อรองรับกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ที่ต้องการบริการด้านการเงินครบวงจร
สำหรับปี 2568 บล.พาย ตั้งเป้ารายได้โต 15% จากการขยายธุรกิจให้เป็นผู้ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่ Private Wealth สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ ไปจนถึงบริการสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุนหน้าใหม่ผ่านแอปพลิเคชันที่ทันสมัย พร้อมนำเสนอการลงทุนที่หลากหลายและยั่งยืนด้วย
ณัชชา สุนทรธาราวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ร่วม) และผู้บริหารสูงสุดด้าน Private Wealth กล่าวเสริมว่า ต้องการให้ธุรกิจ Pi Private Wealth เติบโตอย่างก้าวกระโดดเฉลี่ยปีละ 40-50% ต่อปี จากสิ้นปีก่อนมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท โดยมีเป้าหมายหลักในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนที่ทำให้ผู้ลงทุนบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจ Wealth Management ที่หลายองค์กรเริ่มรุกตลาดนี้มากขึ้น บล.พาย มุ่งมั่นสร้างความแตกต่างจากองค์กรใหญ่ จากมีที่ปรึกษาและทีมกลยุทธ์ที่สามารถเป็นผู้วางแผนการลงทุนให้กับลูกค้าได้แบบ “เฉพาะราย” ตอบโจทย์การลงทุนทั้งลูกค้าบุคคลและสถาบัน ซึ่งมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันแบบมีนัยสำคัญ ทั้งระยะเวลา และความสามารถในการรับความเสี่ยง
ทั้งนี้ พบว่าลูกค้ารายใหญ่ให้ความสนใจลงทุน ในผลิตภัณฑ์ที่เป็นทางเลือกการลงทุนมากขึ้น เช่น Structured Product เนื่องจากสามารถสร้างผลตอบแทน แม้ในภาวะตลาดหุ้นขาลง นอกจากนี้ ยังมีการทยอยสะสมกองทุนหรือตราสารทุน ที่มูลค่าเริ่มต่ำ โดยเน้นลงทุนระยะกลาง-ยาว เพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนอย่างสมดุล
ณัฐพล จันทร์สิวานนท์ เปิดเผยว่า บล.พาย มีแผนขยายผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพิ่มเติม โดยไม่พึ่งพาตลาดหุ้นใดตลาดหุ้นหนึ่งเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนไทยท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 บริษัทได้เพิ่มทางเลือกในการลงทุน บล.พาย ด้วยการเปิดตัว DR03 ซึ่งเป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt – DR) ที่ครอบคลุม 4 ตลาดหลัก ได้แก่
ทั้งนี้ เพื่อให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงและเข้าถึงโอกาสการลงทุนในระดับสากลได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างมาก เนื่องจากต้องการทางเลือกการลงทุนที่สามารถฉีกหนีจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
โดยในปี 2568 จะมีการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะออก DR อีก 5 หลักทรัพย์ เน้นหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่มีความผันผวนของราคาสูงเพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นได้
กวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายการบริหารพอร์ตการลงทุน ชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยที่ร่วงหลุดระดับ 1,200 จุด เป็นผลมาจากปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ และการปรับขึ้นภาษีจากสงครามการค้า
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาแล้วกว่า 2 ปี ทำให้มูลค่าตลาด (P/BV) ลดลงเหลือ 1.2 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตซับไพรม์และโควิด ขณะที่ผลตอบแทนจากเงินปันผลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4% และ Earning Gap ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าหุ้นไทยอยู่ในระดับมูลค่าที่ “ถูก” และมีดาวน์ไซด์จำกัด
ดังนั้น นักลงทุนที่มองหาจังหวะสะสม สามารถทยอยลงทุนในหุ้นไทยได้ โดยเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตระยะยาวและอยู่ในกระแสหลัก โดยแนะนำให้แบ่งพอร์ตการลงทุนเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 30% ในหุ้นที่มีภูมิคุ้มกันต่อวัฏจักรเศรษฐกิจขาลง เช่น กลุ่มเฮลธ์แคร์และท่องเที่ยว, 30% ในหุ้นเติบโต เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่ให้ปันผลสูง และอีก 30% ในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีโอกาสฟื้นตัวได้ดี
แม้ว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทยอาจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่า 3% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าคาดการณ์ของรัฐบาล แต่คาดว่าตลาดจะเริ่มสร้างฐานและสามารถฟื้นตัวได้ในปี 2569 หลังผ่านจุดต่ำสุด
การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยกว่า 30% นับจากระดับ 1,700 จุด ทำให้เป็นจังหวะที่สามารถทยอยสะสมหุ้น เพื่อเตรียมรับโอกาสฟื้นตัวในปีหน้า โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคตและอยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจ
กวี กล่าวอีกว่า ในปี 2568 เตรียมเปิดตัวบริการใหม่สำหรับลูกค้าของ บล.พาย เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่มุ่งสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน พร้อมเสริมสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่ต้องการการดูแลพิเศษ และพร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความผันผวนของสถานการณ์ตลาด ดังนี้
1.Value Averaging Portfolio - จากความสำเร็จในการให้บริการ DCA จาก บล.พาย ที่ให้ผลตอบแทนโดยรวมชนะดัชนีตลาดหุ้น ทำให้มีแนวคิดที่จะพัฒนาเพิ่มเติม โดยบริการนี้จะเน้นการกระจายลงทุนในหุ้นคุณค่า ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนอยากออมเงินต่อเนื่องเพื่อความมั่งคั่งในอนาคต
2.Value Investment Portfolio - บริการจัดพอร์ตให้นักลงทุนและปรับกลยุทธ์ตามสถาการณ์ เน้นลงทุนในหุ้นคุณค่าที่มูลค่าน่าสนใจ ซึ่งเหมาะสมอย่างมากในสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันที่ถือเป็นจุดที่น่าลงทุน โดยจะเน้นให้บริการลูกค้าแบบ Private Wealth วงเงินเฉลี่ย 20 ล้านบาทต่อพอร์ตโฟลิโอ
3.Asset Allocation Portfolio - บริการจัดพอร์ตการลงทุนและรีบาลานซ์แบบอัตโนมัติ โดยจะกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อบริหารความเสี่ยง ภายใต้การกำหนดกลยุทธ์ลงทุนของทีม “กวี ชูกิจเกษม” ตอบโจทย์สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลามากนัก
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้