จับตาธนาคารไทยรับโชค มาตรการรัฐช่วยลูกหนี้ ลดความเสี่ยงเครดิต คงนโยบายเข้มปล่อยสินเชื่อ

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

จับตาธนาคารไทยรับโชค มาตรการรัฐช่วยลูกหนี้ ลดความเสี่ยงเครดิต คงนโยบายเข้มปล่อยสินเชื่อ

Date Time: 25 พ.ย. 2567 12:06 น.

Video

อย่ากลัว! วิกฤติใหญ่ยังไม่เกิด หาโอกาสลงทุน กับ กวี ชูกิจเกษม | Thairath Money Night Stand EP.21

Summary

ยังเดินหน้าต่อเนื่องสำหรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ของภาครัฐเพื่อลดภาระหนี้ครัวเรือนของไทย โดยล่าสุดจะมีมาตรการช่วยลูกหนี้สินเชื่อบ้าน ที่จะทยอยออกมา ทั้งนี้ อาจมีผลต่อการนำส่งเงิน FIDF ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ ในมุมมองของโบรกเกอร์ มองว่า มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลลบเล็กน้อยในรายได้ ในส่วน อัตราดอกเบี้ยสุทธิ หรือ NIM แต่ในระยะยาว น่าจะช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิต ของลูกหนี้ และในขณะเดียวกัน ยังส่งผลบวกต่อกำไรของกลุ่มธนาคารในระยะกลาง ด้วย

Latest


บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ ประเมินว่า จาก มาตรการสนับสนุนจากกระทรวงการคลัง , ธนาคารแห่งประเทศไทย  , และสมาคมธนาคารไทย   ทั้งนี้บล.ได้เชิญธนาคารไทย 5 แห่งภายใต้การวิเคราะห์ของเราเข้าร่วมงาน TISCO’s Corporate Day เพื่อพบกับกองทุนสถาบันในประเทศกว่า 12 แห่ง โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจและการอภิปรายดังนี้ ทุกธนาคารถูกถามเกี่ยวกับมาตรการนี้ จากความคิดเห็นของธนาคารหลายแห่ง คาดว่าจะมีมาตรการร่วมกันจาก คลัง, ธปท  และ สมาคมธนาคารไทย ออกมาในเร็ว ๆ นี้


ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยกลุ่มลูกค้าที่ยังเปราะบาง โดยธนาคารจะช่วยลดอัตราดอกเบี้ยให้ และหน่วยงานกำกับดูแลจะช่วยอุดหนุนบางส่วนผ่านการลดค่าใช้จ่าย FIDF ส่งผลให้ NIM ได้รับผลกระทบในเชิงลบ อย่างไรก็ตาม ธนาคารจะได้รับประโยชน์จากต้นทุนความเสี่ยงด้านเครดิตที่ลดลง และบางธนาคารเชื่อว่าผลกระทบต่อกำไรสุทธิจะเป็นบวกในระยะกลาง


อย่างไรก็ตาม ธนาคารทุกแห่งเน้นย้ำจุดยืนที่ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์โดยรวมยังอ่อนแอ พวกเขาทั้งหมดกล่าวถึงการควบคุมต้นทุน (ทั้งต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) เพื่อช่วยรักษากำไรสุทธิในช่วงที่รายได้อาจไม่เติบโต อย่างไรก็ตาม สำหรับธนาคารที่มีต้นทุนความเสี่ยงด้านเครดิตสูงในปีนี้  ธนาคารกสิกรไทย KBANK/ ธนาคารเกียรตินาคิน หรือ KKP คาดว่าจะมีโอกาสลดต้นทุนด้านนี้ลงในปีหน้า  เราเลือก TTB และ SCB เป็นหุ้นแนะนำ โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 2.20 บาท และ 121.00 บาทตามลำดับ 


บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า  แนวโน้มกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 4 ปี 2567 มีทิศทางอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า  แม้จะยังคงเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  ปัจจัยสำคัญที่กดดันผลประกอบการคือค่าใช้จ่ายดำเนินงาน (OPEX) ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในธนาคารขนาดใหญ่ รวมถึงแรงกดดันจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ที่ลดลง เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ด้านค่าใช้จ่ายด้านสำรองหนี้สูญ   มีแนวโน้มทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างไม่เท่าเทียมกัน เมื่อพิจารณาแบบรายธนาคาร ธนาคารกรุงไทย (KTB) และธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) มีโอกาสเติบโตของกำไรสุทธิที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม เนื่องจากฐานกำไรที่ต่ำในไตรมาส 4 ปี 2566 ส่งผลให้ตัวเลขเติบโตดูเด่นชัดขึ้น


อย่างไรก็ตามในการเติบโตของกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารในปี 2567 และ 2568 ไว้ที่การเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี โดยมูลค่ากำไรสุทธิรวมอยู่ในช่วง 230,000-240,000 ล้านบาท การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐในปีหน้า คาดว่าจะเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อความต้องการสินเชื่อ โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อภาครัฐบาล ซึ่งจะส่งผลดีต่อธนาคารกรุงเทพ (BBL) และธนาคารกรุงไทย (KTB)

 อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินเชื่อรายย่อยยังคงเป็นความท้าทาย แม้ว่าจะเห็นการเติบโตของสินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูง  แต่ขนาดของสินเชื่อกลุ่มนี้เมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อรวมยังค่อนข้างเล็ก จึงไม่สามารถทดแทนสินเชื่อประเภทอื่น เช่น สินเชื่อบ้านและรถยนต์ ที่ยังคงได้รับแรงกดดันจากนโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง

ทั้งนี้ ประมาณการกำไรในปี 2568 อยู่บนสมมติฐานว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งหนึ่ง โดยเป็นการตัดสินใจท่ามกลางความผันผวนของ Bond Yield สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับขึ้น นอกจากนี้ การเตรียมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่กำลังจะประกาศอย่างเป็นทางการ อาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate Loan) ในระดับสูง เช่น BBL, KTB และ KBANK

ถึงแม้การลงทุนจากภาครัฐในปีหน้าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อ แต่ความไม่สมดุลของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกยังคงสร้างข้อจำกัดต่อการเติบโตในภาพรวมของกลุ่มธนาคาร ความท้าทายสำคัญคือการบริหารจัดการ NIM และการเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุม OPEX ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากหลายด้าน

ธนาคารที่มีความสามารถในการปรับตัวและเน้นการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มที่มีความต้องการสูง เช่น สินเชื่อภาครัฐและรายใหญ่ จะมีโอกาสโดดเด่นมากกว่าในภาพรวม ขณะที่สินเชื่อรายย่อยยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวจากผลกระทบของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ