
นายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลัง เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือน ก.ค.มาถึงปัจจุบันวอลุ่มการซื้อขาย ในตลาดหุ้นไทยไม่ได้หายไป สะท้อนให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มมีเสถียรภาพหรือนิ่งมากขึ้น วันนี้ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมาแล้ว ตนได้ลองคำนวณดัชนีหุ้นไทยช่วงที่ขึ้นไปสูงสุดที่ 1,800 จุด จะมีมูลค่า มาร์เกตตลาดรวมอยู่ที่ 22-23 ล้านล้านบาท แสดงว่าดัชนีที่ปรับขึ้นทุกๆ 100 จุด มีมูลค่า 1.3-1.4 ล้านล้านบาท ช่วงนี้ดัชนีปรับตัวลงมาแถว 1,300 จุด หากดัชนีปรับขึ้น 100 จุด จะมีมูลค่ามาร์เกตแคปเพิ่มขึ้น 1.2-1.3 ล้านล้านบาท หรือถ้าปรับขึ้น 200 จุด จะมีมาร์เกตแคปเพิ่ม 2.5 ล้านล้านบาท ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับคนที่ถือหุ้นที่ส่วนใหญ่เป็นคนไทย ทำให้มีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นทันที
“การที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมาได้ นอกจากความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจไทยและมาตรการต่างๆแล้ว ยังมาจากความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในการที่หน่วยงานต่างๆร่วมมือกันตรวจสอบและเร่งดำเนินการกับผู้กระทำความผิดในตลาดหุ้น ที่เห็นผลออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ถือเป็น 1 ในปัจจัยที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมา กระทรวงการคลังคาดหวังว่า หลังจากนี้จะได้เห็นตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง”
สำหรับความคืบหน้าของการเสนอขายกองทุนวายุภักษ์ว่า กระทรวงกำลังสำรวจความต้องการของนักลงทุนกลุ่มต่างๆ เพื่อนำมาพิจารณารูปแบบการเสนอขายให้มีความเหมาะสม คาดว่า จะเสนอขายได้ในปลายเดือน ก.ย.หรือต้นเดือน ต.ค.นี้ ส่วนค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่าขึ้น เป็นไปตามภาวะการเงินของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป มองว่าไม่มีผลกระทบต่อภาคการส่งออก และปัจจุบันยังคงเห็นปริมาณและราคาสินค้าต่างๆที่ส่งออกอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง กรณีที่นักลงทุนมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจ คนที่อาสาเข้ามาในคณะรัฐมนตรี ไม่ว่าเป็นใคร ต้องมีหน้าที่ปฏิบัติและดำเนินนโยบายให้เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคือประเทศไทยมีจุดแข็งหลายอย่าง ทั้งที่ตั้งของประเทศ พื้นฐานทางเศรษฐกิจเดิมที่มีโอกาสทางธุรกิจหลายอย่าง ถ้ามีการผลักดันจริงๆย่อมเป็นผลดีอย่างแน่นอน.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่