ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 15 ก.ค.67 ปิดที่ 1,327.43 จุด ลดลง 4.61 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 33,603.99 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 442.73 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด SCB ปิด 103 บาท ลบ 3.50 บาท, BBL ปิด 133 บาท ลบ 2.50 บาท, KBANK ปิด 124.50 บาท ลบ 3.50 บาท, ADVANC ปิด 223 บาท บวก 2 บาท, PTT ปิด 32.75 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
บล.เอเซีย พลัส โดย “เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย สิ้นปีนี้ที่ระดับ 1,450 จุด มีปัจจัยบวกจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเติบโตตั้งแต่ไตรมาส 2 ไปจนถึงไตรมาส 4 จากเม็ดเงินเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ รวมถึงแรงหนุนต่อตลาดทุนจากมาตรการต่างๆทั้งเม็ดเงินกองทุน TESG และกองทุนวายุภักษ์ที่จะทยอยออกมา
ประเมินว่าเม็ดเงินจากกองทุน TESG เงื่อนไขใหม่ จะไหลกลับเข้ามาหนุนตลาดหุ้นไม่ต่ำกว่า 3-4 หมื่นล้านบาทต่อปี หนุนให้กองทุนลดสถานะเงินสดและซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม ในช่วงเวลาที่เหลือของปี อีกทั้งมีกระแสการฟื้นกองทุนรวมวายุภักษ์แบบการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำเพื่อพยุงตลาดหุ้นไทย
ส่วนกรณีหุ้นใหญ่บางตัวที่มีปัญหา ช่วงนี้อาจมีกระแสความกังวลปกคลุมความไม่มั่นใจในกลุ่มผู้ลงทุนระดับหนึ่ง หลังจากนั้นต้องดูความคืบหน้าว่าบริษัทจะมีการแก้ไขปัญหาอย่างไร ซึ่งผลกระทบจะลดน้อยลงเรื่อยๆและไม่น่ามีผลต่อน้ำหนักการลงทุนใน TESG ใหม่ที่จะเข้ามา
กลยุทธ์การลงทุน ช่วงนี้แนะนำหุ้นพื้นฐานดี ได้เม็ดเงิน TESG ใหม่เข้ามาหนุน กับ 2 ธีมหลัก คือ 1.หุ้นได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ AOT, CK, GUNKUL และ 2.หุ้นปันผล ระหว่างกาลสูง SIRI, ADVANC, TTB และ TU
นอกจากนี้ ยังมองตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3 มีโอกาสผ่านพ้นจุดต่ำสุด หลังเริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงตลาดหุ้น ทั้งปัจจัยภายนอกที่เศรษฐกิจโลกผ่อนคลายลงจากความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ท่ามกลางวัฏจักรดอกเบี้ยโลกขาลงเริ่มชัดเจน ช่วยลดแรงกดดันต่ออัตราแลกเปลี่ยน หนุนให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพแข็งค่ามากขึ้น และปัจจัยในประเทศความกังวลการเมือง อาจมีแรงกดดันลดลงหลังคดีความต่างๆ เริ่มเห็นถึงกระบวนการที่ชัดเจนขึ้น.
อินเด็กซ์ 51
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่