
ศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า บริษัทสนใจการเข้าร่วมประมูลกำลังการผลิต ตามแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ (PDP) ของเวียดนาม ซึ่งให้ความสำคัญการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทคาดว่าจะเข้าร่วมประมูลในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ (LNG) โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโซลาร์ รูฟท็อป
ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสในการขยายการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่ขนาดมูลค่าของการเข้าซื้อกิจการ (M&A) จะเล็กลง โดยสนใจการลงทุนในประเทศ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ที่ 10,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 โดยยังมุ่งเน้นในการขยายโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง และมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 50% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก
ขณะเดียวกัน บริษัทคาดว่าแนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักจะปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 โดยประเมินอยู่ในกรอบ 350-360 บาท ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไร (มาร์จิ้น) ของบริษัทเติบโตต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก แม้นโยบายการปรับลดค่า ft ลงในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค. ปีนี้ อาจกระทบรายได้ของบริษัทบ้าง แต่ทั้งนี้ยังต้องติดตามสูตรการคำนวนค่าไฟฟ้าของภาครัฐด้วย
พร้อมกันนี้ บริษัทเตรียมรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตน์ในเกาหลีเพิ่มเติม ได้แก่ โครงการ KOPOS กำลังการผลิต 95.78 เมกะวัตต์ (BGRIM ถือหุ้น 49.9%) กำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) เดือนสิงหาคม และโครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างกระบวนการเปลี่ยนผู้ถือหุ้น เพื่อให้สามารถเข้าลงทุนได้ตามกฎหมายของภาครัฐ ซึ่งโครงการต่างๆ นั้นบริษัทจะเริ่มรับรู้กำไรเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ศิริวงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับงบลงทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 นั้น บริษัทคาดว่าจะเป็นเงินทั้งสิ้น 4.25 แสนล้านบาท คิดเป็นส่วนเงินลงทุนของ BGRIM ราว 7 หมื่นล้านบาท โดยจะมาจาก กระแสเงินสดจากการดำเนินงานราว 2 ใน 3 ส่วน และที่เหลือมาจากการออกหุ้นกู้ และการระดมทุนวิธีอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม สำหรับความกังวลที่อัตราดอกเบี้ยสูงนั้น บริษัทมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยไว้อยู่แล้ว ซึ่งเงินกู้ส่วนใหญ่ในโครงการปัจจุบันมีดอกเบี้ยคงที่ (Fix rate) ส่วนโครงการใหม่ๆ มองว่ายังสามารถทำเงินกู้โครงการกับสถาบันการเงิน และออกหุ้นกู้ได้ จากทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐเริ่มชะลอตัว และในไทยยังปรับขึ้นไม่รวดเร็ว ทำให้ yield curve ไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากนัก โดยเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (EIRR) ไม่มาก