ธุรกิจด้านพลังงานกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญกับการเข้ามาของกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าที่มีจุดเด่น ทั้งในเรื่องของความถูกด้านต้นทุนพลังงาน เริ่มเข้ามามีบทบาทและอาจเข้ามาทดแทนเครื่องยนต์สันดาป ทำให้ความต้องการน้ำมันในอนาคตนั้นลดลง โดย GGC มองว่าในระยะ 5 ปีข้างหน้าอาจจะยังมีความต้องการด้านน้ำมันที่จะยังไม่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ และในขณะเดียวกัน GGC มองหาธุรกิจใหม่เพื่อเข้ามาช่วยสร้างการเติบโตในอนาคต
นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยว่า ด้านธุรกิจพลังงานจะเผชิญความท้าทายจากการเข้ามาของกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าที่หลายคนมองว่าจะกระทบกับกลุ่มรถยนต์สันดาปนั้น จากการประเมินเรามองว่า ในระยะสั้นจะยังไม่ได้รับกระทบใดๆ โดยเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่จะเริ่มมีสัดส่วนที่มากอย่างมีนัยยะสำคัญน่าจะเกิดขึ้นในปี 2570-2571 ซึ่ง GGC ได้เตรียมแผนในการขยายธุรกิจไปยังไบโอเจ็ต ซึ่งจะมีปริมาณความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้บริษัทได้ประกาศเดินหน้าธุรกิจอาหารและโภชนเภสัช (Food ingredient & Nutraceutical Business) โดยอยู่ระหว่างการโอนทรัพย์สินและจัดตั้งกลุ่มธุรกิจใหม่ โดยธุรกิจด้านนี้จะเป็นขาสำคัญที่จะสร้างการเติบโตให้ GGC ในอนาคต
“GGC มีจุดเด่นในด้านวัตถุดิบซึ่งเรามีจุดเด่นในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะมีส่วนช่วยสำคัญในการเพิ่มอัตรากำไรของบริษัทให้แข็งแกร่งได้ ดังนั้นจะเป็นทางที่ GGC จะเดินหน้าเข้าไปในอนาคต”
แผนการขยายธุรกิจในด้านอาหารเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของบริษัทที่จะสร้างการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทวางเป้าหมายที่จะมีกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา หรือ EBITA ในปีนี้ที่ 1,500 ล้านบาท และจะมี EBITA ในปี 2569 ที่ 3,000 ล้านบาท และมี EBITA ในปี 2573 ที่ 5,000 - 6,000 ล้านบาท โดยความตั้งใจของบริษัทจะดำเนินการทั้งการสร้างการเติบโตโดยจะหาพันธมิตรทางธุรกิจ และรวมการพัฒนาสินค้าด้วยโตเอง
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้ GGC ให้ความสนใจในธุรกิจอาหารและโภชนเภสัช เพราะบริษัทมีความแข็งแกร่งในด้านผลิตภัณฑ์ต้นน้ำทั้งผลิตภัณฑ์จากปาล์มนำมาต่อยอดยังผลิตภัณฑ์ปลายน้ำสู่ผู้บริโภคได้ โดยให้ความสนใจในกลุ่มสินค้าสารให้ความหวาน และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ส่วนธุรกิจเดิม บริษัทยังคงเดินหน้าตามปกติ โดย ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายของภาครัฐที่ให้มีการปรับสัดส่วนผสมน้ำมันไบโอดีเซลเป็น B7 โดยทิศทางในอนาคตบริษัทจะต่อยอดพลังงานชนิดใหม่ โดยมองโอกาสในตลาด ไบโอเจ็ต ที่ทั่วโลกกำลังผลักดันอุตสาหกรรมการบินให้ใช้เชื้อเพลิงสะอาดมากขึ้น
ธุรกิจที่ 2 ธุรกิจเคมีชีวภาพ การผลิตแฟตตี้ แอลกอฮอล์ แม้ว่า ในไตรมาสที่ 1 จะมีปริมาณการขายที่ลดลง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยความไม่สงบของรัสเซีย กับ ยูเครน ที่เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้ความต้องการในตลาดโลกลดลง แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังเดินหน้าเป็นผู้ผลิตต้นน้ำให้กับกลุ่มธุรกิจโดยเฉพาะในด้านสารลดการตึงผิว ที่จะมีการเติบโตอย่างมากในอนาคต