เปิดผลงานการบริหาร บมจ.แสนสิริ 5 ปีล่าสุด ของ นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ (SIRI) หลังจากที่ประกาศพักงานชั่วคราวเพื่อลงไปลุยการเมืองเต็มที่ ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่ฝากฝีมือไว้อย่างน่าประทับใจ โดยจากการสำรวจพบว่า 5 ปีที่ผ่านมา แสนสิริ มีกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้จะต้องเผชิญกับวิกฤติ Covid-19 จนในปีล่าสุดที่ทำให้แสนสิริ มีกำไรมากที่สุดในรอบ 38 ปี
ทั้งนี้ ปัจจุบัน บมจ.แสนสิริ (SIRI) อยู่ในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย 1. ธุรกิจเพื่อขาย โดยพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง 2. ธุรกิจเพื่อให้เช่าอาคารสำนักงาน และอาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นโครงการที่ขายสิทธิการเช่า และ 3. ธุรกิจบริการอสังหาริมทรัพย์ โดยแบ่งเป็นธุรกิจบริหารงานขายโครงการ ธุรกิจนายหน้า และบริการด้านการบริหารและจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์
ย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อน หรือปี 2561 บมจ.แสนสิริ มีรายได้รวมที่ 27,039.75 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,045.98 ล้านบาท ขณะนั้นแสนสิริตั้งเป้าหมายสำคัญคือการทำให้เกิดปรากฎการณ์ใหม่ๆ ในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ผ่านการรวมเอานวัตกรรมที่อยู่อาศัยเข้ามาพัฒนาทำโครงการใหม่ๆ ตามแนวคิด “Journey for Tomorrow” รวมถึการขยายธุรกิจและสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศด้วยเช่นกัน
ในปีถัดมาแสนสิริภายใต้การนำของ เศรษฐา ประกาศ แผนประจำปีชูจุดขายใหม่ในการพัฒนาทาวน์เฮาส์คุณภาพในระดับ Best in Class ฉีกแนวการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภททาวน์เฮาส์ในตลาด ตอบรับเทรนด์การอยู่อาศัยคนรุ่นใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ “ขยายทุกความชอบ ให้เป็นไปได้” ส่วนธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบก็มียอดขายในระดับดีทุกโครงการเช่นกัน
แม้จะเผชิญกับวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ยอดขายโครงการลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่ก็มีแผนการบริหารจัดการต้นทุนได้ดี ส่งผลให้ผลประกอบการปี 2562 มีรายได้ 25,360.35 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิเติบโตขึ้นไปที่ 2,392.44 ล้านบาท
สำหรับปี 2563 เป็นปีที่แสนสิริต้องเผชิญกับอีกหนึ่งความท้าทายในการทำธุรกิจ ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย แต่ บมจ.แสนสิริ เลือกเบนเข็มการพัฒนาโครงการเจาะลูกค้าแมสผ่านแผนเชิงรุกด้วยยุทธศาสตร์ “Made for Life Made for Everyone” และวางพันธกิจเป็น “แบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้” ส่งผลให้ยอดโอนในปีนี้สูงสุดในรอบ 36 ปี สวนทางกับภาพรวมเศรษฐกิจและวิกฤติโควิด-19 ซึ่งบริษัทถือว่าเป็น “ปีแห่งความแข็งแกร่งของแสนสิริ” จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและยังสามารถทำกำไรได้ โดยรายงานผลประกอบการปี 63 มีรายได้ 34,891.03 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิลดลงจากปีก่อนมาที่ 1,673.09 ล้านบาท
ต่อมาแสนสิริประกาศแผนปี 2564 เป็น “The Year of Hope” หรือปีแห่งความหวัง เดินหน้าด้วย 3 ความหวังแกร่ง คืนรอยยิ้มให้ลูกค้า ครอบครัวแสนสิริ และสังคม ท่ามกลางความพร้อมในการปรับแผนรับมือภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในปีที่ผ่านมาตลอดเวลา ภายใต้กลยุทธ์ “Speed to Market” เพื่อแข่งกับสภาพตลาด ทำธุรกิจด้วยความรวดเร็วและปรับตัวเร็วทันต่อสถานการณ์ ส่งผลให้ผลประกอบการมีรายได้ 29,747.52 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิเติบโตขึ้นมาจากปีก่อนอยู่ที่ 2,017.28 ล้านบาท
และในปีสุดท้ายของการบริหารงานภายใต้ นายเศรษฐา ทวีสิน ก่อนลงไปลุยการเมืองเต็มที่ บมจ.แสนสิริ ทำกำไรรวมในปี 2565 สูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบ 38 ปี ทะลุ 4,280 ล้านบาท อัตราการเติบโตด้านกำไรโตก้าวกระโดด 112% สูงสุดในอุตสาหกรรม ส่วนรายได้ขึ้นมาอยู่ที่ 34,973.59 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการตอบรับในแบรนด์ที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าที่ดีมาโดยตลอด รวมถึงการควบคุมวินัยทางการเงินของบริษัทเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดี หลังจากที่ เศรษฐา ประกาศที่จะเข้าสู่วงการการเมือง เจ้าตัวได้ประกาศพักงานโดยไม่รับเงินเดือน และได้มีการโอนหุ้นให้กับลูกสาว โดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ได้รายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI โดย นายเศรษฐา ทวีสิน ได้โอนหุ้นทั้งหมดให้ นางสาวชนัญดา ทวีสิน บุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้ว จำนวน 661,002,734 หุ้น ในวันที่ 8 มี.ค. 66 เป็นที่เรียบร้อย ทำให้ต้องจับตาหลังจากนี้ ก้าวต่อไปของ เศรษฐา จะสร้างความตื่นตาตื่นใจในแวดวงการเมือง เหมือนกับที่เคยฝากฝีมือไว้กับ แสนสิริ ได้หรือไม่