บล.เอเซียพลัส ออกบทวิเคราะห์ “ค้นหาหุ้นขึ้นดี ช่วงวอลุ่มแห้ง” โดยระบุว่าเดือน ธ.ค.65 มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยเฉลี่ยลดลงเหลือ 5.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน (ต่ำที่สุดของปี และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 7.2 หมื่นล้านบาทต่อวัน)
ส่วนหนึ่งเกิดจากเป็นช่วงฤดูกาลวันหยุด มีประเด็นเก็บภาษีหุ้น และรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เป็นต้น ส่งผลให้ภาพรวม SET Index ปรับตัวขึ้นได้ยาก อย่างไรก็ตามหากวิเคราะห์ลงไปในผลตอบแทนราย Sector ช่วง 1-8 ธ.ค.65 ยังพอที่จะเห็นและแบ่งกลุ่มหุ้นที่ Underperform และ Outperform ออกได้ดังนี้
กลุ่มหุ้น Underperform ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขึ้นมาสูงในช่วงก่อนหน้า อาทิ กลุ่ม TOURISM, HELTH รวมถึงกลุ่ม ENERG, PETRO ที่ถูกกดดันจากราคาน้ำมันลง 10% mtd (และหุ้น Tactical Short ประจำเดือน ธ.ค. ที่ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำยังอยู่ในกลุ่มนี้ทั้ง 2 หุ้น คือ PTTEP และ BH)
กลุ่มหุ้น Outperform คือหุ้นที่ลงมาลึกในช่วงก่อนหน้า และมี Sentiment บวกหนุน อาทิ กลุ่มผลประกอบการ ไตรมาส 4 เด่นและดีต่อเนื่องปีหน้า เช่น กลุ่ม FIN, MEDIA, CONS และกลุ่มที่ได้แรงหนุนจากจีนเปิดประเทศ ETRON รวมทั้งหุ้น Defensive อาทิ PF&REIT, PROP
ขณะที่ บล.กสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ หลังสหรัฐฯรายงานตัวเลขการจ้างงานเดือน พ.ย.65 ที่ออกมาสูงกว่าคาดโดยระบุว่า มีประเด็นซ่อนอยู่ในรายละเอียด “ตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ”
ทั้งนี้ รายงานตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯในเดือน พ.ย.65 ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP)ออกมาเพิ่มขึ้น 263,000 ตำแหน่ง, การจ้างงานของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 221,000 ตำแหน่ง และการจ้างงานของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น 42,000 ตำแหน่ง
แม้ว่าอัตราการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานจะแข็งแกร่ง รวมถึงค่าจ้างรายชั่วโมงที่สูงกว่าคาด แต่รายละเอียดของ NFP ดึงดูดความสนใจของเรา เช่น การเลิกจ้างในธุรกิจค้าปลีก (ลดลง 30,000 ตำแหน่ง) ธุรกิจขนส่งและคลังสินค้า (ลดลง 15,000 ตำแหน่ง) พร้อมกับภาคการผลิตที่ชะลอตัว การจ้างงาน (เพิ่มขึ้น 14,000 ตำแหน่ง เทียบกับ เพิ่มขึ้น 36,000 ตำแหน่ง ในเดือนที่แล้ว) วิชาชีพธุรกิจ (เพิ่มขึ้น 6,000 ตำแหน่ง เทียบกับ 26,000 ตำแหน่ง)
โดยกสิกรไทย มองว่า เป็นลบต่อตลาดหุ้น แต่มองเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ นอกจากนี้ยังคงกองทุนแนะนำ ตราสารหนี้ K–GB และ TMBGIN COME รวมทั้งกองทุนที่มีการเติบโตสูง K–CHANGE และ TMBGQG!!
อินเด็กซ์ 51