ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 20 ก.ค.65 ปิดที่ 1,539.32 จุด เพิ่มขึ้น 5.89 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 57,500.11 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 605.82 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด SCB ปิด 90.75 บาท ลบ 0.50 บาท, CPALL ปิด 60.25 บาท ลบ 0.75 บาท, PTT ปิด 34.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, DELTA ปิด 364 บาท บวก 24 บาท, AOT ปิด 70 บาท บวก 0.50 บาท
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์ ชี้ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ถูกกดดันจากปัจจัยภายในและต่างประเทศ แต่เริ่มเห็นราคาลงลึกจนเริ่มน่าสะสม โดยเอเซียพลัสได้นำเสนอมาตลอดว่า ระดับดัชนีรองรับการขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ คือ 1,570 จุด โดยจากการคำนวณที่ค่อนข้าง Conservative ภายใต้ MEYG 4.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 4.2% และ EPS65F ที่ 88.9 บาท/หุ้น ต่ำกว่า Consensus ที่ 95 บาท/หุ้น
ขณะที่ปัจจุบันดัชนีปรับตัวลงมา จนคาดว่าเริ่มลึกเกินพื้นฐานแล้ว และเริ่มเข้าสู่พื้นที่สะสมจาก 3 ปัจจัยดังนี้ 1.SET Index ลงมาอยู่ในระดับให้เคียงกับค่าเฉลี่ยช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดโควิดสายพันธุ์เดลตาหนักๆ (1-15 ส.ค.64) ที่ 1,534 จุด 2.GDP ไทยล่าสุดยังไม่น่ากังวลจนกลับไปติดลบเหมือนงวด 3Q64 ที่ติดลบ 0.9% QoQ 3.กำไรปีนี้ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อ โดยฝ่ายวิจัยคาด EPS Growth 65F อยู่ที่ 4%
เบื้องต้น จึงประเมินแนวรับหรือจุดน่าสะสมหุ้นที่ดัชนีต่ำกว่า 1,570 จุด โดยแนวแรกอยู่ที่บริเวณ 1,530 จุด (ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยช่วงโควิดสายพันธุ์เดลตาแพร่ระบาดหนัก) อีกแนวเป็น 1,515 จุด เป็นโซนแนวรับทางเทคนิค และเป็นบริเวณใกล้จุดต่ำสุดช่วงโควิดสายพันธุ์เดลตาแพร่ระบาดหนักเช่นกัน
นอกจากนี้ยังทำการค้นหาหุ้นกำไรโต ราคา Laggard น่าทยอยสะสมในโซนดังกล่าว โดยผ่านเงื่อนไขต่างๆดังนี้ 1.ราคาลงมาต่ำกว่าราคาเฉลี่ย ช่วง 1-15 ส.ค.64 (ผู้ติดเชื้อ Covid Delta เร่ง) 2.ราคาหุ้นปีนี้ลงมาลึก (Return (ytd) น้อยกว่า -10%) 3.กำไรเติบโต (EPS Growth 65F >0) 4.มี Upside ฝ่ายวิจัยแนะนำ “ซื้อ”
ได้ผลลัพธ์ 15 หุ้นกำไรโต ที่ราคายัง LAGGARD น่าทยอยสะสมในโซนที่ดัชนีต่ำกว่า 1,570 จุด ดังนี้ HANA-NWR-KCE-MTC-TIDLOR-THCOM-SCGP-SAT-RS-AEONTS-SCB-TISCO-STEC-PTT-HMPRO!!
อินเด็กซ์ 51