ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 11 พ.ค.65 ปิดที่ 1,613.34 จุด ลดลง 9.44 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 71,693.34 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,928.07 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BANPU ปิด 11.80 บาท ลบ 0.30 บาท, AOT ปิด 66.50 บาท ลบ 0.50 บาท, OR ปิด 26.50 บาท บวก 1.25 บาท, JMT ปิด 72.75 บาท ลบ 5.25 บาท, PTTEP ปิด 153 บาท บวก 1.50 บาท
นักลงทุนเทขายทำกำไรระยะสั้นและลดความเสี่ยงหลังวันก่อนดัชนีปรับขึ้น ขณะที่บางส่วนชะลอลงทุนรอดูการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อาจจะเร็วและแรงขึ้น กระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
บล.ทิสโก้ ระบุหากเงินเฟ้อสหรัฐฯออกมาชะลอตัวตามที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 8.1% จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 8.5% น่าจะช่วยให้ตลาดกลับมาฟื้นตัวได้ในระยะสั้น ถือเป็นจังหวะขายเพื่อปรับพอร์ตและถือเงินสด
ขณะที่แนะนำหุ้น 3 กลุ่มเด่น ที่เข้าซื้อเก็งกำไรรับตลาดรีบาวน์ขึ้นได้ เช่น หุ้นกลุ่มที่ราคาปรับตัวลงแรงมากในรอบนี้ ได้แก่ AMATA-GUNKUL-MTC-AS-ZIGA-NCAP-ICHI
และหุ้นกลุ่มที่โดนชอร์ตเซลออกมามาก ทำให้มีโอกาสถูกซื้อคืน คือ DELTA-SAWAD-KCE และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวลงมาต่ำกว่า 100 เหรียญต่อบาร์เรล คือหุ้น GPSC-GULF-SCGP-OR-PTG
ปิดท้าย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ชี้การประกาศเงินเฟ้อสหรัฐฯ ตลาดคาดเงินเฟ้อทั่วไป 8.1% และเงินเฟ้อพื้นฐาน 6.0% โดยหยวนต้ามองเป็น 2 กรณีคือ 1.เงินเฟ้อออกมาเท่ากับหรือต่ำกว่าคาดผลคือ Dollar Index และ Bond Yield พักตัวลง และ SET Index รีบาวน์ระยะสั้น แนวต้าน 1,620-1,630 จุด คาดหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, โรงไฟฟ้า, หุ้นขนาดกลางเล็กจะฟื้นตัวขึ้นได้
2.เงินเฟ้อออกมาสูงกว่าคาด ผลทำให้ Dollar Index และ Bond Yield ปรับตัวขึ้น เงินบาทอ่อนค่า และ SET Index อ่อนตัวลงหาแนวรับ 1,580-1,590 จุด โดยราคาหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ, ธนาคาร, ประกัน จะแข็งกว่าตลาด!!
อินเด็กซ์51