ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 20 เม.ย.65 ปิดที่ 1,680.35 จุด บวก 4.73 จุด มีมูลค่า 69,123.90 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,035.82 ล้านบาท หุ้นไทยปรับขึ้นต่อ รับแรงหนุนจากแรงซื้อเก็งกำไรผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร แต่ยังมีปัจจัยลบกดดันจากต่างประเทศ
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด KBANK ปิด 157.50 บาท บวก 5 บาท, A5 ปิด 3.14 บาท บวก 0.18 บาท, BANPU ปิด 11.80 บาท บวก 0.20 บาท, BBL ปิด 137 บาท บวก 1 บาท, ZIGA ปิด 10.70 บาท ลบ 1.50 บาท
บล.เอเซียพลัส ชี้ราคา Commodity มีโอกาสถูกกดดันต่อในระยะถัดไป โดยวันก่อนราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลดลงราว 5% ประเด็นกดดันส่วนหนึ่งมาจาก IMF ปรับลดการคาดการณ์ GDP โลก ในปี 2022 และ 2023 ลงเหลือ 3.6% และ 3.6% ตามลำดับ
ขณะที่ Bond Yield 10 ปี มีการเร่งขึ้นมาจนล่าสุดอยู่ที่ 2.94% สูงสุดในรอบ 3 ปี และสูงกว่าคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะ 5 ปีข้างหน้า จึงหนุนให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Yield) พลิกกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง อาจส่งผลให้ราคาน้ำมัน หรือ Commodity ต่างๆ มีโอกาสทยอยปรับตัวลดลงได้ในระยะถัดไป สอดคล้องกับข้อมูลสถิติในอดีต พบว่าเวลาที่ Real Yield ขยับตัวอยู่ในแดนบวก มักจะกดดันราคา Commodity ย่อลงเสมอ เนื่องจากเม็ดเงินบางส่วนจะมีการไหลกลับจากสินทรัพย์เสี่ยงไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัย
ดังนั้น จึงแนะนำหุ้นที่ได้แรงหนุนจากต้นทุน Commodity มีโอกาสทยอยลดลง อย่าง GPSC, SAPPE, BGRIM, BJC, OSP เป็นต้น
โดย กกพ.มีมติให้ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) โดยเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือน พ.ค.-ส.ค.65 เพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ จากปัจจุบัน 1.39 สตางค์ มาอยู่ที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.00 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 5.82% จากงวดปัจจุบัน ถือเป็น sentiment เชิงบวกโดยรวมต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP อย่าง GPSC
และสถานการณ์สงครามที่เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวลดลง คาดเป็นบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าเลือก GPSC ซึ่งคาดจะเห็น margin ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2H64 ขณะที่ภาพระยะยาวยังเห็นการเติบโตจากโครงการใหม่ๆที่เตรียม c0d ตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไป
ขณะที่ราคาหุ้นปรับฐานมาแล้วระดับหนึ่งจนเริ่มเห็น valuation ที่น่าสนใจ แนะนำทยอยซื้อสะสมลงทุนระยะยาว!!
อินเด็กซ์ 51