IVL, SCC–KBANK!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 12 ม.ค.65 ปิดที่ 1,678.50 จุด บวก 11.38 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 87,958.96 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,288.18 ล้านบาท

หุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หลังประธานคณะกรรมการธนาคารกลาง FED ส่งสัญญาณเข้มงวดการเงินน้อยกว่าที่ตลาดกังวล ประกอบกับจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศ เริ่มชะลอตัวหนุนบรรยากาศการลงทุน นำโดยกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น

บล.เอเซียพลัสระบุประธาน Fed ส่งสัญญาณตามคาด ช่วยตลาดผ่อนคลาย โดยคำแถลงการณ์ของนาย Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภาคองเกรสสอดคล้องที่ตลาดคาดการณ์ไว้

โดย Powell ระบุว่า “Fed มีแผนดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวในปีนี้ ผ่านการปรับลดวงเงิน QE (QE Tarping), ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงมีแผนจะปรับลดขนาดงบดุล (Balance Sheet Runoff) ในปีนี้ด้วย”

คำแถลงการณ์ของประธาน Fed เป็นการตอกย้ำว่า Fed จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ 3 ครั้ง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯปลายปีเพิ่มเป็น 0.75% จากปัจจุบัน 0.25% ซึ่งนับว่าสวนทางกับไทยที่เอเซียพลัสประเมินว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% ต่อไปตลอดปี 65

ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกันของสหรัฐฯและไทย ส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของตลาดหุ้นและพันธบัตร หรือ Forward Market Earning Yield 65F ของสหรัฐฯจะลดลง จากการปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ย โดยสหรัฐฯจะมี Forward Market Earning Yield 65F จะลดลงเหลือ 3.6% (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต) ภายใต้การปรับดอกเบี้ยขึ้น 3 ครั้งในปีนี้

ส่วนไทยยังมี Forward Market Earning Yield Gap 65F สูงกว่าที่ 4.4% (ใกล้เคียง +1SD เมื่อเทียบกับอดีต) ส่งผลให้หุ้นไทยมี Valuation ในเชิงเปรียบเทียบที่น่าสนใจกว่า!!

ขณะเดียวกันเอเซียพลัสได้ค้นหาหุ้นที่สามารถ Outperform ช่วงอัตราเงินเฟ้อสูง แม้ GDP ชะลอ โดยจากข้อมูลในอดีตพบว่า Sector ที่ Outperform ได้ เช่น กลุ่มปิโตร-น้ำมัน ตามราคาน้ำมัน, กลุ่มประกันจาก Bond Yield ทรงตัวสูง (เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวดีก่อน Subprime อัตราดอกเบี้ยจึงสูงตาม) และกลุ่มอาหาร เป็นต้น

ส่วน Sector ที่ Underperform ช่วง 1Q50–2Q51 มักจะเป็น Sector ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน เช่น กลุ่มขนส่ง เลือกให้ IVL, SCC และ KBANK เป็น Toppick!!

อินเด็กซ์ 51