ปัจจัยท้าทายตลาด!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 7 ม.ค.65 ปิดที่ 1,657.62 จุด บวก 4.59 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 89,096.14 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,797.61 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด KBANK ปิด 142.50 ไม่เปลี่ยนแปลง, PTTEP ปิด 124 บาท บวก 4.50 บาท, EA ปิด 97 บาท ลบ 2 บาท, ADVANC ปิด 221 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, GPSC ปิด 84.50 บาท ลบ 1 บาท

หุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่ปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน และล่าสุด ศบค.ยังไม่มีการล็อกดาวน์ประเทศ หนุนบรรยากาศการ ลงทุนได้ แม้จะมีการปรับพื้นที่โซนสีส้มเพิ่มขึ้นเป็น 69 จังหวัด และระงับ Test &Go

บล.เอเซียพลัส มองมาตรการส่วนใหญ่เข้มกว่าคาดเล็กน้อย โดยเฉพาะ การระงับ Test&Go การชะลอเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวแบบไม่มีกำหนด แต่เชื่อมั่นว่าภาครัฐจะไม่กลับไป Lockdown ในวงกว้างแบบปี 64 ช่วยให้ Downside ของเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 65 มีจำกัด แม้ระยะสั้นราคาหุ้นอาจกระทบจาก Sentiment ในเชิงลบบ้าง แต่มองเป็นจังหวะสะสมหุ้น เพื่อหวังผลตอบแทนในระยะถัดไป

เอเซียพลัสยังมองปัจจัยต่างประเทศขณะนี้ว่า ตลาดการเงินโลกปั่นป่วน อาจทำ Fund Flow สะดุดช่วงสั้นโดยความกังวลธนาคารกลาง สหรัฐฯ (Fed) จะดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวเร็วขึ้น ทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการปรับลดขนาดงบดุล (Balance Sheet Runoff) ที่เร็วกว่าคาด ประกอบกับความกังวล Omicron ที่แพร่ระบาดไปแล้วถึง 144 ประเทศ ส่งให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกสูงถึง 1.89 ล้านราย/วัน

ล้วนเป็นปัจจัยกดดันให้ตลาดการเงินโลกแกว่งตัวผันผวนค่อนข้างมาก คือ ราคาสินทรัพย์เพื่อการลงทุนปรับลงแทบทั้งสิ้น ทั้งสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้นโลก และสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯปรับเพิ่มขึ้นอีก 0.02% เป็น 1.72% แตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน (ราคา Bond เปลี่ยนแปลงในทิศตรงข้ามกับ Bond Yield)

ภาวะดังกล่าวสะท้อนว่าตลาดการเงินโลกมีความอ่อนไหวและเปราะบางต่อประเด็นความเสี่ยงต่างๆอยู่พอสมควร โดยเป็นที่สังเกตว่าแม้ทั้งสินทรัพย์เสี่ยงและสินทรัพย์ปลอดภัยจะปรับลง แต่ Dollar Index ยังปรับตัวแข็งค่าได้เล็กน้อย บ่งบอกเป็นนัยว่านักลงทุนอาจกำลังถือเงินสดในระยะสั้น เพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนที่จะกลับเข้าไปลงทุนอีกครั้งหนึ่ง

จึงประเมินว่าปัจจัยลบจากต่างประเทศจะมีน้ำหนักกดดันตลาดหุ้นไทยได้ ส่งผลให้แนวต้าน 1,658 จุด ยังท้าทาย SET Index ต่อไป!!

อินเด็กซ์ 51