ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 4 พ.ย.64 ปิดที่ 1,626.27 จุด เพิ่มขึ้น 14.35 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 85,650.25 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 4,396.30 ล้านบาท ส่วนรายย่อยสวนทางขายสุทธิ 5,454.12 ล้านบาท
บล.เอเซียพลัส ประเมินประเด็นผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่ม QE Tapering เดือน พ.ย.64 เป็นไปตามที่ตลาด และ เอเซียพลัสคาด ดังนี้ คือ Fed คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0-0.25% เช่นเดิม และ Fed
ประกาศเริ่มต้นกระบวนการปรับลดวงเงิน QE (QE Tapering) เดือน พ.ย.64 โดยจะปรับลดวงเงิน QE เดือนละ 1.5 หมื่นล้านเหรียญไปเรื่อยๆทุกเดือนหลังจากนี้ จะส่งผลให้มาตราการ QE สิ้นสุด มิ.ย.65
เอเซียพลัสคาดว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายช่วง 2H65 หลังกระบวนการ QE Tapering สิ้นสุด สอดคล้องกับผลสำรวจโอกาสขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในการประชุมแต่ละรอบของ Bloomberg ที่พบว่า Fed มีโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 2H65 สูง
จาก Timeline ของการลดระดับนโยบายผ่อนคลายของ Fed ที่ค่อนข้างชัดเจน เอเซียพลัสเชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก ดังนี้ Bond Yield สหรัฐฯมีแนวโน้มปรับขึ้นตาม จากการที่ Fed ลดการเข้าซื้อพันธบัตร และส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และค่าเงิน Dollar Index มีแนวโน้มแข็งค่าได้ต่อในระยะกลาง-ยาว เพราะดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่เป็นขาขึ้นชัดเจนจะหนุน Fundflow เงินไหลกลับสหรัฐฯหนุนค่าเงิน Dollar ในทางตรงข้ามทำให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อ แต่จะไม่อ่อนค่ากลับไปเหมือนในอดีตที่แตะ 36 บาท เป็นบวกต่อหุ้นส่งออก
ผลต่อตลาดหุ้นโลกอาจเผชิญแรงกดดัน หลังสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินมีแนวโน้มลดลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือตลาดหุ้นโลกเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย (ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังทำ New high) สะท้อนว่าหุ้นโลกได้รับรู้ประเด็น QE Tapering และอัตราดอกเบี้ยไปมากแล้ว
ส่วนหุ้นไทยรับรู้ประเด็นนี้ไปมากแล้ว และแรงขายต่างชาติที่คาดว่าจะกดดัน Fund Flow ไหลออกค่อนข้างจำกัด จากสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติขณะนี้ ต่ำมากไม่ถึง 20% ต่างกับช่วง QE Tapering ปี 56 ที่ต่างชาติถือครองหุ้นไทยสูงถึง 27.8% ส่วนดอกเบี้ยไทยมีแนวโน้มทรงตัวต่ำไปจนถึงช่วง 2H65 หรืออาจคงไปตลอดทั้งปี 65 แต่การผ่อนคลายกิจกรรมเศรษฐกิจ และการเปิดรับนักท่องเที่ยวจะจำกัด Downside ของดอกเบี้ยไทยด้วยเช่นกัน
ส่วน Bond Yield ไทยอาจมีลุ้น Upside บางส่วนจาก Bond Yield สหรัฐฯที่ปรับขึ้น ซึ่งจะเป็น Sentiment เชิงบวกกับหุ้นกลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB, BBL) และกลุ่มประกันชีวิต (BLA)
อินเด็กซ์ 51