ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 13 ก.ค. 64 ปิดที่ 1,570.99 จุด เพิ่มขึ้น 21.15 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 75,222.98 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,436.63 ล้านบาท
บล.โกลเบล็ก ประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้ มีแรงกดดันหลักอยู่ที่จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศยังอยู่ในระดับสูง และล่าสุดกลุ่มประเทศ G20 กังวลว่า เชื้อไวรัสโควิดกลายพันธุ์ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ปัญหาข้อพิพาทการค้าสหรัฐฯ-จีนมีแววปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังคณะบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโจ ไบเดน วางแผนเพิ่มชื่อบริษัท และหน่วยงานจีนอีกอย่างน้อย 10 แห่งในบัญชีดำทางเศรษฐกิจอย่างเร็วที่สุดในข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน
เช่นเดียวกับ EU ลงมติเห็นชอบให้ตัวแทนทางการทูตร่วมบอยคอตการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวประจำปี 65 ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งเพื่อตอบโต้การละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลจีน
แต่คาดว่าการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ WTI จะช่วยพยุงตลาดไว้ได้ คาดกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ 1,520-1,580 จุด แนะลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก WFH ได้แก่ ADVANC- DTAC- TRUE -JAS DIF—JASIF- ITEL- INSET-NETBAY—YGG และ AS
ขณะที่ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส เผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า หุ้นเล็ก BIZ, TM, WINMED, SMD มีแรงเก็งกำไรรับข่าวดี นำชุดเครื่องมือ Rapid Test Antigent มาจำหน่าย ทั้ง รพ.และร้านขายยา คาดจะขายดี เพราะมีความต้องการมาก
ส่วน บล.ไอร่า มองหุ้น กลุ่ม รพ. อาจเผชิญแรงขายจากการที่ สธ. อนุญาตให้ใช้การตรวจหาเชื้อแบบ Rapid Antigen Test เพื่อตรวจเชื่อ COVID-19 ได้เองคาดว่าจะกดดันหุ้นในกลุ่ม รพ. อ่อนตัวลงปรับฐานใหม่ได้
บล.บัวหลวง ระบุว่า หุ้นโรงพยาบาล BCH-CHG - BDMS -BH ถูกเทขาย จาก 2 สาเหตุคือ มีรายงานต่างชาติ downgrade rating ทั้งที่เพิ่ง upgraded ไปสัปดาห์ที่แล้ว และข่าวชุด Rapid-test ทำให้ตลาดคาดว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้นมาก โรงพยาบาลจะไม่ได้รายได้จากตรวจ COVID-19 อีกต่อไป แม้การตรวจด้วย Rapid Test
เป็นการคัดกรองเบื้องต้น
แต่การตรวจแบบ RT—PCR ยังจำเป็นอยู่ก่อนรับการรักษา แนะนำ เป็น “จังหวะเก็บของ—ซื้อเก็งกำไร” ได้ upside ราว 10% จากการ rebound ก่อนประกาศงบ.
อินเด็กซ์ 51