ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 18 มี.ค.64 ปิดที่ 1,568.82 จุด เพิ่มขึ้น 2.06 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 81,007.58 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 735.91 ล้านบาท
มีมุมมองน่าสนใจจาก “ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์” นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า ช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐฯมีสัญญาณการฟื้นตัวเร็วกว่าคาดทั้งภาคการผลิต การบริโภค หนุนให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อายุ 10 ปี เร่งตัวจากระดับต่ำกว่า 1% ช่วงต้นปี ทำจุดสูงสุดเหนือ 1.6% ส่งผลกระทบให้เกิดแรงเทขายตลาดพันธบัตร Asean ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้นเช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นเริ่มสร้างความกังวลต่อโอกาสการถอดถอนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ (ลดขนาด QE หรือ QE Tapering) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งข้อมูล Bloomberg Consensus ให้น้ำหนักว่าจะเกิดขึ้น Q1/65 จากนั้นจะตามด้วยการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายหลังปี 66 เป็นต้นไป หากเทียบกับกรอบเวลาการถอน QE 3 ช่วงปี 56 จะพบว่า ครั้งนั้นประธานเฟดส่งสัญญาณล่วงหน้าก่อนการทยอยลดขนาดราว 6 เดือน
หากประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตลาดหุ้นไทย พบว่า ณ วันที่เฟดเริ่มส่งสัญญาณลดขนาดการทำ QE 3 เป็นวันที่หุ้นไทยทำจุดสูงสุดของรอบ ดัชนีแตะ 1,650 จุด และเริ่มเข้าสู่รอบขาลง จากนั้นจนกระทั่งต้นปี 57 หลังเฟดเริ่มลดการซื้อพันธบัตรจริง ดัชนีจบรอบขาลง ทำจุดต่ำสุดที่ 1,205 จุด และเริ่มฟื้นตัว สะท้อนภาพตลาดหุ้นไทยที่เล่นบน “ความคาดหวัง” ทั้งด้านบวกและด้านลบ
และ “เมื่อความจริงปรากฏ” (Buy on Fact) ซึ่งสามารถนำมาเป็นจุดกำหนดกลยุทธ์ หากเกิดการส่งสัญญาณปรับลดขนาด QE รอบนี้ได้ นั่นคือ ทยอยลดพอร์ตการลงทุน-ล็อกกำไร เมื่อเฟดส่งสัญญาณ และรอจังหวะซื้อกลับหลังจากนั้น
ทั้งนี้ QE Tapering หากเกิดขึ้นจริง จะแตกต่างเมื่อเทียบกับ QE Tapering ปี 56 เช่น Fund Flow ไม่ได้ไหลเข้าสู่หุ้นไทย
รวมถึงภูมิภาค Asean มากเท่ากับการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ผ่านมา, ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยแข็งแกร่งกว่าครั้งที่ผ่านมา และอัตราเงินเฟ้อยังไม่ได้เร่งตัวสูงมากเหมือนครั้งที่ผ่านมา
จากเหตุผลนี้ โดยเฉพาะ Fund flow ที่ไหลออกจากหุ้นไทยช่วงสหรัฐฯกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยจำกัดการไหลออกของ Fund flow หลังถอดถอน QE Tapering และทำให้หุ้นไทยรอบนี้แม้เลี่ยงยากที่จะโดนผลกระทบเชิงลบ แต่ไม่รุนแรงเหมือน QE Tapering ครั้งก่อน!!
อินเด็กซ์ 51