เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) หรือ KEX เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 300 ล้านหุ้น หลังก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง
เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 63 อเล็กซ์ อึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX กล่าวว่า เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 300 ล้านหุ้น เพื่อนำเงินจากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้ในการขยายธุรกิจ ชำระเงินกู้และเป็นทุนหมุนเวียนในกิจการต่อไป
ทั้งนี้ kerry express ได้รับการยอมรับในฐานะที่เป็นผู้ขับเคลื่อนธุรกิจรายแรก ที่พัฒนาคุณภาพการบริการอย่างรวดเร็ว ไม่เคยหยุดพัฒนาและสรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และเรายังเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ ปัจจุบัน เคอรี่ เอ็กซ์เพรสมีจุดบริการกว่า 15,000 จุด ศูนย์กระจายพัสดุกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ
วีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวาณิชธนกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า KEX มีศักยภาพการเติบโตสูงและอยู่ในธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากเมกะเทรนด์ด้านอีคอมเมิร์ซ
โดยหลังจากได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) / ร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่งแล้ว
สำหรับการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครั้งนี้ จะดำเนินการเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 300 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 17.24 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้
ทั้งนี้ ภาพรวมผลการดำเนินงานของ บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) เติบโตและสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยมีรายได้จากการขายและให้บริการในปี 2560-2562 อยู่ที่ 6,626.41 ล้านบาท 13,565.35 ล้านบาท และ 19,781.93 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 730.26 ล้านบาท 1,185.10 ล้านบาท และ 1,328.55 ล้านบาท ตามลำดับ
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 ถึงแม้สภาวะภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่ยืดเยื้อต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่บริษัทสามารถรักษาระดับรายได้อยู่ที่ 14,688.92 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่มีกำไรสุทธิ 1,030.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน.