
ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 26 มี.ค.63 ปิดที่ 1,091.96 จุด เพิ่มขึ้น 11.93 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 62,344.06 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,949.13 ล้านบาท
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งผลให้กิจกรรมทางธุรกิจหยุดชะงักชั่วขณะ กดดันต่อประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน ให้ลดลง ทำให้เอเซียพลัสปรับประมาณการเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ เพื่อสะท้อนภาพรวมตลาดให้มากที่สุด
ล่าสุดประเมินกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 63 อยู่ที่ 7.81 แสนล้านบาท (ลดลง 21.6% yoy) ส่วน EPS อยู่ที่ 72.62 บาท/หุ้น (ลดลง 24.1% yoy) หากพิจารณา Valuation ของดัชนี ณ ปัจจุบัน 1,080.03 จุด โดยพิจารณาผ่าน Market Earning Yield Gap โดยกำหนด Bond Yield 1 ปี เท่ากับดอกเบี้ยนโยบาย ณ ปัจจุบัน ที่ 0.75% จะได้ Market Earning Yield Gap เกือบ 6% ถือว่าสูงมาก
หากคำนวณเป้าหมายดัชนี อิงจาก Market Earning Yield Gap แบบอนุรักษนิยมที่ 5% และ Bond Yield 1 ปี เท่าดอกเบี้ยนโยบาย ปัจจุบัน ที่ 0.75% จะได้ PER63F ที่เหมาะสม 17.4 เท่า และเป้าหมาย ดัชนีปี 63 อยู่ที่ 1,264 จุด มี Upside เมื่อเทียบกับดัชนีปัจจุบันที่ 17%
มีข่าวตลาดหลักทรัพย์เตรียมการพร้อมรับมือ หลังรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และอาจมีการนำมาตรการเคอร์ฟิวมาใช้ในอนาคต หากสถานการณ์การแพร่ระบาดยกระดับความรุนแรงมากขึ้น
โดยตลาดหลักทรัพย์เตรียมมาตรการรองรับ โดยอาจปรับเวลาปิดทำการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์และตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ให้เร็วขึ้น โดยได้มีการ hearing ผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน รวมทั้งเพื่อให้ มีการเตรียมความพร้อมของระบบในการซื้อขายด้วย
สำหรับการปรับเวลาซื้อขายใหม่ จะเปิดทำการภาคเช้าตามเดิมในเวลา 10.00-12.30 น. แต่การเปิดซื้อขายภาคบ่ายจะร่นเวลามาเร็วขึ้น โดยเปิดทำการเวลา 12.50 น. และปิดทำการเวลา 14.15 น. จากเดิมเปิด 14.30-16.30 น. อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ยังไม่ได้กำหนดว่าเริ่มปรับเวลาซื้อขายเมื่อไร แต่ถือเป็นการเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า หากมีความจำเป็นต้องนำมาใช้.
อินเด็กซ์ 51