ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 5 ก.พ.62 ปิดที่ 1,653.09 จุด ลดลง 0.53 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 25,349.84 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 362.66 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 49.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, PTTEP ปิด 125.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, BDMS ปิด 23.80 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, AOT ปิด 70 บาท บวก 0.75 บาท และ CPALL ปิด 78 บาท บวก 0.25 บาท
บล.โกลเบล็กมองสัปดาห์นี้หุ้นไทยยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ ให้กรอบไว้ที่ 1,630-1,690 จุด แนะนักลงทุนลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง ได้แก่ VGI, PLANB, MACO, CPALL, MAKRO, BJC, TKS ส่วนหุ้นในตลาด mai แนะนำ TACC, LIT, CRD รวมถึงหุ้นที่ได้อานิสงส์มาตรการคืน VAT 5% กระตุ้นการใช้จ่ายช่วงตรุษจีน แนะนำ CPALL, MAKRO รวมทั้งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนในช่วงวันหยุดตรุษจีน ได้แก่ AOT, CENTEL, ERW
ขณะที่จากการสำรวจนักวิเคราะห์หลากหลายสำนัก ต่างฟันธงตรงกันทุกสำนักว่าปีนี้เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทย หลังปีก่อนขายทิ้งไปร่วม 3 แสนล้าน ช่วงนี้จึงเป็นจังหวะของการทยอยเก็บของ หากตลาดอ่อนตัวลงมา โดยเน้นหุ้นพิมพ์นิยมต่างชาติ โดยเป้าหมายหลักคือหุ้นใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่ม SET 50 เพราะมีสภาพคล่องสูง ที่สำคัญราคาหุ้นส่วนใหญ่ยังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน จึงยังมีอัปไซด์สูง กูรูประเมินว่าหุ้นใน SET 50 จะมีอัปไซด์สูงมากกว่า 10-15% ขึ้นไป
บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่า ระยะ 3-4 เดือนถัดไป ดัชนีมีโอกาสขึ้นไปถึง 1,760 จุด โดยถูกขับเคลื่อนโดยหุ้นใหญ่ที่มีแรงซื้อจากต่างชาติ แนะนำทยอยสะสมหุ้นใน SET 50 ที่มีอัปไซด์สูงเช่นเดียวกับ บล.ทรีนีตี้ และ บล.เอเซียพลัส
ทั้งนี้ มีการสำรวจ หุ้นใน SET 50 ที่ถูกต่างชาติขายหนักในปี ที่แล้วจนสัดส่วนการถือลดลง คือ LH, SPRC, EGCO, BBL, TOP, BPP, TISCO, ROBINS, SCC, KKP
ส่วนหุ้น ใน SET 50 ที่ราคายังต่ำเมื่อเทียบกับ ราคาเหมาะสมเฉลี่ยที่สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้ไว้หรือ IAA Consensus ทำให้ ประเมินได้ว่าหุ้นที่จะมีอัปไซด์ขึ้นไปที่ราคาเหมาะสมสูงสุดคือ BANPU, IVL, TRUE, BJC, KTC, PTTGC, IRPC, MTC, ROBINS, BDMS
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นราคาหุ้นที่จะปรับขึ้นได้ ต้องมีแรงดันจากหลายปัจจัยประกอบกันนอกจากแรงซื้อต่างชาติ รวมทั้งปัจจัยพื้นฐานเฉพาะของหุ้นแต่ละตัวด้วย!!
อินเด็กซ์ 51