ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 2 มี.ค.61 ปิด 1,811.98 จุด ลบ 18.15 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 70,322.88 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 3,582.58 ล้านบาท กองทุนในประเทศขายสุทธิ 3,197.57 ล้านบาท, โบรกเกอร์ซื้อสุทธิ 827.58 ล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิ 5,952.56 ล้านบาท
หุ้นไทยปรับลงตามตลาดต่างประเทศ หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศจะจัดเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม รวมทั้งความกังวลการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ
“ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ให้มุมมองทิศทางตลาดเดือน มี.ค.ว่า มีปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลคือ Bond yield สหรัฐฯ โดยหาก Bond yield สหรัฐฯ สูงกว่า 2.8% คาด Fund flow จะยังไม่มีทิศทางไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยมากนัก
เนื่องจาก Valuation ของหุ้นไทยยังไม่ถูกหนุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพราะประมาณการ EPS ยังไม่ได้ถูก Upgrade ขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ จึงทำให้ระดับ Earning yield gap ของหุ้นไทยยังไม่อยู่ในระดับที่จูงใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ โดยล่าสุดอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี
แต่ Bond yield ของไทยที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ จึงทำให้ Earning yield gap ของหุ้นไทย เมื่อเทียบกับ Bond yield
ยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ย ทำให้นักลงทุนในประเทศไม่มี แรงจูงใจที่จะโยกเงินออกจากตลาดหุ้นเข้าสู่ตราสารหนี้
ประกอบกับสภาพคล่องในประเทศที่อยู่ในระดับสูง จึงเป็นแรงที่ช่วยประคองดัชนีให้ทรงตัวอยู่ได้
ทั้งนี้ ประเมินทิศทางหุ้นไทยกรณีฐานดัชนีมีโอกาสน้อยที่จะหลุดแนวรับที่ 1,750–1,760 จุด ซึ่งถือเป็นระดับต้นทุนดัชนีของสถาบันในประเทศที่เข้าซื้อหุ้นอย่างหนักนับตั้งแต่ต้น ธ.ค.ปีก่อน
หากดัชนีลงมาที่ระดับนี้ แนะให้ลดการถือเงินสดเพื่อมาลงทุนในหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ!!
อินเด็กซ์ 51