ผู้สื่อข่าวรายงานการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 6 ก.พ.ว่า ดัชนีหุ้นไทยยังคงปรับตัวลงอย่างหนักกว่า 50 จุด หลุดระดับ 1,800 จุดอย่างง่ายดาย ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ปรับตัวลงรุนแรงต่อเนื่องอีกกว่า 1,600 จุด แม้จะดีขึ้นในช่วงท้ายตลาด ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าร่วงลงกว่า 600 จุด ก่อนจะพยุงตัวขึ้นมาบวกได้
เพราะมีความกังวลว่าสหรัฐฯจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าคาดหลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดี และคาดว่าเงินทุนจะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยทรุดตัวลงตามในช่วงเปิดตลาดวันที่ 6 ก.พ. กว่า 52.01 จุด ก่อนจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นรายตัวพยุงตลาดมาปิดทำการที่ระดับ 1,788.49 จุด ลดลง 21.89 จุด ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 124,498.18 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันเทขายหนีตายกันหมดทุกกลุ่ม มีเพียงรายย่อยที่สวนทางเข้าซื้อโดยต่างชาติขายสุทธิ 2,198.95 ล้านบาท กองทุนในประเทศขายสุทธิ 4,443.71 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ขายสุทธิ 951.51 ล้านบาท ขณะที่รายย่อยเป็นกลุ่มเดียวที่ซื้อสุทธิ 7,594.17 ล้านบาท
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หุ้นไทยที่ลดลงมามากในช่วงนี้ ไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจไทยไม่ดี แต่เป็นเพราะผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐฯไม่ดี จึงมีการปรับฐานทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเอเชียลดลงตามไปด้วย ซึ่งเมื่อนักลงทุนหายช็อก หายตกใจ เดี๋ยวก็จะปรับตัวขึ้นเอง ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยพื้นฐานยังแกร่งมากเมื่อตลาดหุ้นโลกดีขึ้นหุ้นไทยจะดีขึ้นตามไปด้วย ซึ่งการลดลงของดัชนีเป็นไปตามสภาพของตลาดหุ้นทั่วโลก ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะตลาดไทยเท่านั้น แต่ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นทั่วโลกเชื่อมโยงซึ่งกันและกันเมื่อตลาดใหญ่ลดลงก็ดึงให้ตลาดเล็กลดลงตามไปด้วย
ขณะที่นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า หุ้นทั่วโลกที่ปรับลงเกิดจากการปรับฐานและเป็นการปรับลงชั่วคราว นับเป็นผลดีต่อนักลงทุนระยะยาว เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาดัชนีทุกตลาดปรับขึ้นมาตลอด ทำให้ราคาหุ้นอยู่ในระดับสูง ซึ่งการปรับลดลงของดัชนีไม่ได้เกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจ เห็นได้จากอัตรากำไรของบริษัททั่วโลกอยู่ที่ 9% ขณะที่บริษัทในประเทศเกิดใหม่ทำกำไรได้สูงถึง 11% มุมมองจากนักวิเคราะห์ซิตี้ว่า เศรษฐกิจโลกปี 61 ยังเติบโตที่ 3.4% สูงสุดในรอบ 8 ปี มีผลบวกจากหลายภูมิภาคทั่วโลก ทั้งจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลดภาษีในสหรัฐฯ เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในยุโรป การปรับโครงสร้างพื้นฐานของจีน และกระแสเงินทุนที่ไหลกลับเข้ามาในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ สำหรับเศรษฐกิจไทยมองว่าจะขยายตัว 3.8%
ส่วนนายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงแรงมาจากตลาดคาดว่าเงินเฟ้อในสหรัฐฯจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังค่าจ้างในสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นในรอบ 9 ปีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งมีผลต่อดอกเบี้ยที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับเพิ่มขึ้น 3 ครั้งในปีนี้ และปี 62 อีก 2 ครั้ง แต่ต้องติดตามในช่วง 1-2 เดือนนี้ว่าความผันผวนจะมีมากขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร ซึ่งหลักๆจะอยู่ที่ตลาดหุ้น และอัตราแลกเปลี่ยน ที่ยังต้องระมัดระวัง โดยเศรษฐกิจโลกมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้เป็นเรื่องการเทขายทำกำไรในตลาดหุ้น แต่มองว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งอาจมีผลกระทบไม่มาก เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังดีอยู่ โดยเฉพาะการส่งออก และการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตได้ดี “หุ้นตกส่งผลให้บาทอ่อน เราก็ดีใจนะ ซึ่งตอนนี้ดอลลาร์เริ่มกลับมาแข็งค่า ก็ทำให้เงินบาทเราอ่อน ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออก อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามดูใน 1-2 เดือนนี้ว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯจะขึ้นมาอย่างแท้จริงหรือไม่ แต่ธปท. ดูอยู่ตอนนี้ก็เห็นว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังขยายตัวได้ดี” นายดอนกล่าว.