
แนะจับตาทรัมป์เลือกประธาน Fed คนใหม่ ชี้หากพลิกโผไม่ใช่ เจอโรม โพเวลล์ คาดเงินดอลลาร์สหรัฐ จะแข็งค่า กดดันเงินไหลออกตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทย แนะปิดความเสี่ยงถือเงินสด ทยอย Take Profit หุ้นไทย-ต่างประเทศ
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า ในระยะนี้ตลาดกำลังจับตาว่า โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะเลือกเสนอรายชื่อใครเป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คนใหม่ ซึ่งปัจจุบันนายทรัมป์เริ่มวางตัวเลือกว่าที่ประธานเฟด ไว้ 5 คน ได้แก่
1. นางเจเน็ต เยลเลน (Janet Yellen) ประธาน Fed คนปัจจุบัน
2. นายแกรี่ โคห์น (Gary Cohn) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล
3. นายเจอโรม โพเวลล์ (Jerome Powell) คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ
4. นายเควิน วิร์ช (Kevin Warsh) อดีตคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ ปี 2549-2554
5. นายจอห์น เทย์เลอร์ (John Taylor) ซึ่งเป็นผู้คิดกฎ Taylor rule และเคยอยู่ทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลสมัยประธานาธิบดี George H. W. Bush, Ford และ Carter
ทั้งนี้ เราคาดว่าทรัมป์ จะเสนอชื่อว่าที่ประธานเฟด คนใหม่ต่อวุฒิสภาได้ภายในวันที่ 3 พ.ย. 2560 และประเมินว่าน่าจะได้รับการเห็นชอบจากวุฒิสภาได้ใน 2-3 เดือน ซึ่งประธาน Fed คนใหม่จะมาทำหน้าที่แทนนางเยลเลน ที่จะครบวาระในวันที่ 3 ก.พ. 2561
โดยตลาดคาดว่า นายโพเวลล์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการเฟดอยู่แล้วในปัจจุบัน น่าจะมีโอกาสขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานเฟด แทนนางเยลเลน มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม หากเป็นไปตามคาด ตลาดหุ้นน่าจะตอบรับในเชิงบวก เนื่องจาก นายโพเวลล์ น่าจะยังสนับสนุนให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อไป และทิศทางนโยบายการเงินก็จะมีความต่อเนื่อง
ในทางกลับกัน หากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดสินใจเสนอชื่อ นายวิร์ช หรือ นายเทย์เลอร์ ซึ่งมีแนวโน้มสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นตลาดการเงินอาจผันผวนได้ เนื่องจากนักลงทุนจะต้องกลับมาประเมินแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed กันใหม่
"ดังนั้นในช่วงนี้จึงแนะนำนักลงทุนทยอย Take Profit หุ้นไทยและต่างประเทศ และถือเงินสดรอความชัดเจนของนโยบายดอกเบี้ย เพราะที่ผ่านมาหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นมากหลังจาก ตลาดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง"
อย่างไรก็ตาม หากนายวิร์ช หรือ นายเทย์เลอร์ ได้รับการแต่งตั้งเฟด ก็อาจมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้น และ Bond Yield ในตลาดปรับตัวสูงขึ้น และอาจส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นต่อไป
นอกจากนี้ หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ กลับมาแข็งค่าขึ้นเร็ว ก็อาจจุดชนวนให้เกิดการขายสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งรวมไปถึงตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ของไทยด้วย