Crypto 2026: Bull Run หรือ Bear Market ? เจาะลึกปัจจัยชี้ขาด เมื่อทุกอย่างกำลังรีเซตโฉมใหม่

Experts pool

Columnist

Tag

Crypto 2026: Bull Run หรือ Bear Market ? เจาะลึกปัจจัยชี้ขาด เมื่อทุกอย่างกำลังรีเซตโฉมใหม่

Date Time: 31 ธ.ค. 2568 12:43 น.

Video

ต้นทุนพุ่ง! นำเข้าสินค้าออนไลน์ เตรียมรับมือ ภาษีนำเข้า 1 บาท (ม.ค. 69)  | Thairath Money Night Stand EP.25

Summary

ตลาดคริปโตฯ ปี 2026 เผชิญ Mixed Signals จากหลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจโลกและ AI

  • การขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ และการลดดอกเบี้ยของ Fed มีผลต่อทิศทางตลาด
  • ตลาด AI ยังไม่เข้าสู่ภาวะฟองสบู่ เนื่องจากมีการเติบโตบนพื้นฐานจริง
  • วัฏจักร Bitcoin เปลี่ยนแปลงไป โดยได้รับอิทธิพลจากสถาบันการเงินมากขึ้น
  • กลยุทธ์การลงทุนเน้นการคัดเลือกโครงการที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและบริหารความเสี่ยง

Latest


ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเดินทางมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญอีกครั้งในปลายปี 2025 — ต้นปี 2026 หลายคนตั้งคำถามว่า ปี 2026 จะเป็นปีแห่งขาขึ้น หรือเป็นปีแห่งความผันผวนครั้งใหม่?

เมื่อมองภาพรวมทั้งหมดตั้งแต่เศรษฐกิจโลก การเมืองสหรัฐฯ กระแส AI Bubble ไปจนถึงพฤติกรรมเงินทุนของสถาบัน จะพบว่า ตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงที่ข้อมูลหลากหลายชุด “ขัดแย้งกันเอง” (Mixed Signals) มากที่สุดในรอบหลายปี การตีความข้อมูลอย่างมีเหตุผล จึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับนักลงทุนในปีที่จะมาถึงว่าจะเป็นปีแห่งโอกาส หรือปีที่ต้องระวังเป็นพิเศษ

ภาพใหญ่เศรษฐกิจโลก (Macroeconomics): ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดปี 2026

เศรษฐกิจโลกยังคงเป็นตัวแปรที่มีน้ำหนักสูงที่สุดในการกำหนดทิศทาง Bitcoin และคริปโต  โดยปัจจัยสำคัญมาจาก 3 ส่วนหลัก—ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และสภาพคล่องทั่วโลก

ญี่ปุ่น (BOJ) และผลกระทบกับ Carry Trade - การขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ทำให้ต้นทุนของผู้ที่ “กู้เงินเยนดอกเบี้ยต่ำเพื่อลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง” เพิ่มขึ้นอย่างมาก นักลงทุนจำนวนหนึ่งผลกระทบรอบล่าสุดจะไม่รุนแรงเท่าครั้งก่อน เพราะตลาดรับรู้ข่าวล่วงหน้าแล้ว แต่ก็ยังเป็นแรงกดดันที่ต้องจับตาใกล้ชิด

สหรัฐฯ: Fed ยุคใหม่ และอิทธิพลของประธานาธิบดี Trump - ตลาดคาดว่าปีหน้าจะลดดอกเบี้ย 3–4 ครั้ง ขณะที่ตัวเต็งประธาน Fed คนใหม่อย่าง Kevin Hassett มีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินแบบ “Dovish และ Aggressive”—คือเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่ากดเงินเฟ้อ หาก Fed ผ่อนคลายเร็ว ภาพรวมจะเป็นบวกอย่างมากต่อ Bitcoin และสินทรัพย์เสี่ยง

สภาพคล่อง (M2): ทำไมเงินใหม่ไม่ไหลเข้าคริปโต? - แม้ M2 ขยายตัว แต่เงินกลับไหลไปยัง ทองคำ, เงิน (Silver) และ หุ้นกลุ่ม AI มากกว่าคริปโต สะท้อน “Mindshare Shifting”—เม็ดเงินใหม่ยังมองว่าคริปโตต้องรอปัจจัยยืนยันมากกว่านี้ก่อนจะกลับเข้ารอบใหญ่

โอกาสเกิด Recession ต่ำมาก - ข้อมูลจาก Polymarket ชี้ว่า ความเสี่ยงเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2026 “ต่ำที่สุดในรอบหลายปี” ซึ่งถือเป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงเช่นกัน สรุปภาพใหญ่  Macro ปีหน้า “เป็นบวกมากกว่าเป็นลบ” หาก Fed ลดดอกเบี้ยเร็วและไม่มีเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์รุนแรง

AI Bubble: ฟองสบู่หรือการเติบโตระยะยาว?

หนึ่งในคำถามที่ใหญ่ที่สุดที่กำลังถูกตั้งขึ้นในปีนี้คือ: "ตลาด AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่แล้วหรือยัง?" 

การวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า "ยังไม่เป็นฟองสบู่" ด้วยเหตุผลหลัก 4 ประการ ที่แสดงให้เห็นว่าตลาดยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง:

1. กราฟราคาที่ไม่ชันเกินไป (Non-Parabolic Price Action)

การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ยังไม่เป็นไปในลักษณะ Parabolic (พุ่งชันแบบไร้เหตุผล) ซึ่งเป็นสัญญาณคลาสสิกของฟองสบู่ ภาวะในปัจจุบันยัง ห่างไกลจากจุดที่ตลาด "bubble" เหมือนช่วงฟองสบู่ดอทคอม (Dot-com Bubble) อย่างเห็นได้ชัด

2. หุ้น Small Cap ยังนิ่ง (Lack of Small Cap Participation)

ในสภาวะที่ตลาดเข้าสู่ภาวะฟองสบู่โดยสมบูรณ์ หุ้นของบริษัทขนาดเล็ก (Small Cap) ที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งรองรับ มักจะมีการพุ่งขึ้นของราคาอย่างรุนแรงและขาดเหตุผล แต่สถานการณ์ในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า หุ้นกลุ่มนี้ในตลาดที่เกี่ยวข้องกับ AI ยังไม่ปรากฏสัญญาณการปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้สำคัญที่ขาดหายไปในการพิจารณาว่าเป็นฟองสบู่

3. การเติบโตอยู่บนพื้นฐานจริง (Growth Backed by Fundamentals)

การขยายตัวของตลาด AI ในปัจจุบัน มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ จากภาวะฟองสบู่อื่น ๆ เนื่องจาก การเติบโตไม่ได้อาศัยเพียงแค่การคาดการณ์ แต่ตั้งอยู่บนรากฐานของปัจจัยพื้นฐานที่จับต้องได้จริง:

ผลประกอบการที่ชัดเจน: บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมได้รายงานตัวเลข รายได้และกำไรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเป็นผลมาจากการนำเทคโนโลยีไปใช้งานเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นที่ไร้เหตุผล

การใช้งานจริงในวงกว้าง: เทคโนโลยี AI เช่น ChatGPT และ Generative AI ได้เปลี่ยนสถานะจากแนวคิดไปสู่ การใช้งานจริงในชีวิตประจำวันและภาคธุรกิจทั่วโลก โดยถูกนำไปปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ

การสร้างมูลค่าที่ยั่งยืน: การขับเคลื่อนนี้จึงมิใช่เพียงแค่กระแสชั่วคราว แต่เป็นการสร้าง มูลค่าทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน (Tangible Value) ที่ส่งผลให้การประเมินมูลค่ากิจการมีการรองรับด้วยผลการดำเนินงานที่แท้จริง การเติบโตในปัจจุบันถูกขับเคลื่อนด้วยการนำเทคโนโลยีไปสร้าง กระแสเงินสดและผลกำไรจริง ซึ่งตอกย้ำว่าตลาด AI ยังคงอยู่ในช่วงของการพัฒนาและขยายตัวตามศักยภาพ ไม่ใช่การเก็งกำไรในเชิงอารมณ์

ปัจจัยชี้ขาดและกลยุทธ์รับมือตลาด Cryptocurrency ในวัฏจักรใหม่

การวิเคราะห์ทิศทางตลาดคริปโตในช่วงนี้สะท้อนให้เห็นว่า “วัฏจักรเดิม” ของ Bitcoin กำลังเปลี่ยนรูปแบบอย่างมีนัยสำคัญ จากตลาดที่เคยขับเคลื่อนด้วยแรงซื้อขายของรายย่อย กลายเป็นตลาดที่ได้รับอิทธิพลอย่างชัดเจนจากสถาบันการเงินและเครื่องมือการลงทุนใหม่ ๆ อย่าง Spot ETF เงินทุนขนาดใหญ่จากสถาบันทั่วโลกทำให้โครงสร้างตลาดเปลี่ยนไป วัฏจักร 4 ปีแบบเดิมที่หลายคนเคยเชื่อจึงอาจ “ไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิม” อีกต่อไป

ในภาพรวมของรอบนี้ มีการคาดการณ์กันมากขึ้นว่า การฟื้นตัวจะมาในลักษณะ K-Shape Recovery คือ Bitcoin มีโอกาสไปต่อและยืนได้แข็งแรงกว่าสินทรัพย์ดิจิทัลตัวอื่น ขณะที่ Altcoin ส่วนใหญ่กลับมีแนวโน้มซบเซา การเกิด Altcoin Season แบบ “ยกแผง” เหมือนปี 2017 หรือ 2021 จึงเป็นเรื่องที่ยากขึ้นมาก เหตุผลสำคัญมาจากการที่มีเหรียญใหม่ไหลเข้าตลาดจำนวนมหาศาล เม็ดเงินลงทุนจึงไม่สามารถดันทุกโทเคนขึ้นไปพร้อมกันได้อีกต่อไป ทำให้กลยุทธ์ลงทุนต้องเปลี่ยนจากการ “ซื้อทั้งกระดาน” มาเป็นเกมของ Selective Play อย่างแท้จริง

เมื่อหันไปดูข้อมูล On-chain ภาพที่สะท้อนออกมากลับเต็มไปด้วยสัญญาณที่ขัดแย้งกัน (Mixed Signal) จนไม่อาจใช้เป็นเข็มทิศหลักเพียงอย่างเดียวได้ ฝั่งหนึ่ง เราเห็น Smart Money หรือกลุ่มนักลงทุนที่มีประสบการณ์เริ่มทยอยขายทำกำไรในช่วงที่ราคาดี และโครงสร้างต้นทุนเฉลี่ยของตลาดเริ่มเสียรูป แต่ในอีกด้านหนึ่ง เครื่องมือชี้วัดฟองสบู่สำคัญอย่าง MVRV หรือ RHODL กลับยังไม่แสดงสัญญาณเตือนว่าตลาดเข้าสู่จุดพีค นั่นหมายความว่า ภาพรวมแล้ว ตลาดยังอาจมีพื้นที่ให้ Bitcoin เดินหน้าต่อได้ แม้จะต้องระมัดระวังมากกว่าช่วงก่อนก็ตาม

ท่ามกลางสัญญาณที่ไม่ชัดเจนแบบนี้ กลยุทธ์สำคัญจึงไม่ใช่การ “เดาทิศ” แต่คือการ “คัดเลือกและบริหารความเสี่ยง” นักลงทุนน่าจะต้องให้ความสำคัญกับสามปัจจัยหลัก ได้แก่ ทีมผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์และรับผิดชอบต่อทั้งระบบนิเวศ (Ecosystem) โปรเจกต์ที่มี Chain, Developer, User และ Dapp เติบโตจริงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการมี Real Users ใช้งานในโลกจริง และตอบคำถามได้ว่า “อีก 5 ปี จะมีคนใช้งานมากกว่าวันนี้หรือไม่

ในแง่การจัดพอร์ต ผู้ที่มีสินทรัพย์อยู่แล้วอาจใช้กลยุทธ์ “ปล่อยกำไรวิ่ง” หรือ Let Profit Run มากกว่าการรีบขายเพียงเพราะความผันผวนระยะสั้น ส่วนผู้ที่ยังถือเงินสดเป็นหลักควรรอจังหวะและสัญญาณที่ชัดเจน ข้อสำคัญคือ ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในภาวะ FOMO ไล่ซื้อ Altcoin แบบหว่านสุ่มโดยไม่มีหลักการ และที่สำคัญไม่แพ้กันคือการกระจายความเสี่ยงผ่าน Asset Allocation ที่เหมาะสม การลงทุนในคริปโตไม่ควรมีน้ำหนัก 100% ของพอร์ตทั้งหมด แต่ควรเป็นหนึ่งในหลายเครื่องมือของการบริหารความมั่งคั่งระยะยาวมากกว่า

Outlook และแนวโน้มปี 2026

หลังจากการวิเคราะห์ทั้งด้านบวกและด้านลบ จะเห็นสอดคล้องกันได้ว่า แม้ หนึ่ง ถึง สองเดือนข้างหน้ายังไม่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ตลาดทำสถิติใหม่แบบ New All Time High แต่กลับเป็นจังหวะพักฐานที่สำคัญ เพื่อรอแรงขับเคลื่อนใหม่ในปี 2026 ไม่ว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยของ Fed การกลับมาของเม็ดเงินสถาบันสู่ตลาด Bitcoin หรือโมเดลเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งมีแนวโน้มเปลี่ยนโฉมการลงทุนแบบดั้งเดิมทั้งระบบ

ภายใต้บริบทนี้ ปี 2026 จึงไม่น่าจะเป็นปีของการเสี่ยงโชค แต่จะเป็นปีที่ต้องอาศัย “ความแม่นยำในการคัดเลือก” มากกว่าที่เคย มีเพียงไม่กี่โครงการที่มีพื้นฐานแข็งแรงจริงเท่านั้น ที่จะกลายเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนหลักของนักลงทุนไทยในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้




Author

ดร.กร พูนศิริวงศ์

ดร.กร พูนศิริวงศ์
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และผู้อำนวยการโครงการ BINANCE TH Academy บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด