
เศรษฐกิจไทยโตต่ำเตี้ยติดดินมาถึงวันนี้ กูรูเศรษฐกิจและธุรกิจต่างออกมาประสานเสียงกันไม่เว้นแต่ละวันว่า ประเทศไทยถึงเวลาต้อง “ยกเครื่อง” หรือ “ปฏิรูปโครงสร้าง” เศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพราะเครื่องยนต์เดิมๆ ที่เราเคยพึ่งพาเป็นหัวหอกในอดีตนั้น ล้วนแต่ล้าสมัยตกยุคพึ่งพาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
หนึ่งในพระเอกหน้าใหม่ที่หลายคนคาดฝันว่าจะให้เป็นหัวจักรเศรษฐกิจใหม่หมาดของไทย คือ “เศรษฐกิจเขียว” (green economy) หรือเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเศรษฐกิจแบบนี้ไม่เพียงแต่สมควรต้องเกิดให้เป็นกระแสหลักเท่านั้น แต่ยังเป็น “ไฟลท์บังคับ” ที่ไม่ทำไม่ได้อีกต่อไป ในยุค “โลกเดือด” ที่ความเสื่อมโทรมของธรรมชาติและความรุนแรงของภาวะโลกรวนส่งผลกระทบที่ชัดเจนและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่อระบบเศรษฐกิจ ไม่เพียงแต่ซ้ำเติมปัญหาสังคมอย่างความเหลื่อมล้ำเท่านั้น
(อนึ่ง ผู้เขียนเห็นหลายคนใช้คำว่า “เศรษฐกิจสีเขียว” แต่ส่วนตัวไม่ชอบคำคำนี้เนื่องจากคำว่า “เขียว” หมายถึงการอนุรักษ์ฟื้นฟูและดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่เกี่ยวกับ “สี” ใดสีหนึ่งแต่อย่างใด)
อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นว่า ทัศนคติหรือกรอบความคิดของผู้ดำเนินนโยบายจำนวนมาก รวมถึงผู้บริหารบริษัทใหญ่ๆ ในภาคเอกชนจำนวนไม่น้อย ยังไม่สอดคล้องหรือแม้แต่เป็นอุปสรรคต่อการสร้าง “เศรษฐกิจเขียว” ที่แท้จริง โดยเฉพาะทัศนคติที่ว่า บทบาทของรัฐควรจำกัดอยู่เพียง “ผู้สนับสนุน” (facilitator) เท่านั้น กล่าวคือ รัฐมีหน้าที่ออกมาตรการจูงใจ หรือที่เรียกเป็นสำนวนอังกฤษว่า แครอท เช่น ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับผู้ผลิตที่ใช้เทคโนโลยีเขียว พลังงานหมุนเวียน ฯลฯ รัฐไม่ควรออกมาตรการใดๆ มาบังคับ หรือที่สำนวนอังกฤษเรียกว่า “ไม้(แข็ง)” (sticks)
ยกตัวอย่างเช่น ในการแถลงจุดยืนต่อร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา กกร. มีความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด ว่า “การแก้ปัญหามลพิษ …ควรมุ่งเน้นมาตรการสนับสนุนและจูงใจทางภาษีหรือการเงินในการปรับปรุงคุณภาพการผลิตที่ลดมลพิษ เพื่อช่วยให้ทุกภาคส่วนปรับตัว แทนที่จะเก็บค่าธรรมเนียมอากาศสะอาดตั้งแต่หน่วยแรกที่ปล่อย หรือออกมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ทันที” และ “เห็นว่าการมีกฎหมายเพื่ออากาศสะอาดเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องยึดหลัก ไม่ซ้ำซ้อน ไม่เพิ่มภาระ และสร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อมกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ”
จากคำแถลงชิ้นนี้ ผู้เขียนเห็นว่า กกร. ยังมีทัศนคติที่ล้าหลังและยังเข้าใจผิดอยู่มาก เนื่องจาก “มาตรการบังคับ” สำคัญไม่น้อยไปกว่า “มาตรการจูงใจ” ที่ กกร. ต้องการ อีกทั้ง “สมดุล” ระหว่างสิ่งแวดล้อมกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศนั้น ในโลกแห่งความจริงทุกวันนี้ไม่มี “สมดุล” ที่ว่า!
สิ่งที่เป็น “ของจริง” ก็คือ ยิ่งประเทศไทยไม่เร่งฟื้นฟูและดูแลสิ่งแวดล้อมในยุคโลกเดือด นับวันความสามารถในการแข่งขันของประเทศจะยิ่งถดถอย --- ทั้งจากผลกระทบของสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม และแรงกดดันของประเทศคู่ค้าที่จะใส่ “ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” เข้ามาในเงื่อนไขการค้ามากขึ้นเรื่อยๆ
เครื่องมือใหม่ๆ อย่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด นั้น จำเป็นต่อการสร้าง “เศรษฐกิจเขียว” ที่แท้จริง และมาตรการบังคับ (sticks) ก็สำคัญพอๆ กับมาตรการจูงใจ (carrots)
ก่อนอื่น หากเราใช้เพียงมาตรการจูงใจอย่างเดียว ภาคเอกชนก็อาจปรับตัวไม่เร็วพอต่อการเปลี่ยนแปลงที่เราอยากเห็น (ในกรณี พ.ร.บ. อากาศสะอาด หมายถึง การลดการปล่อยฝุ่นพิษ PM2.5 ต่ำกว่าระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ) โดยรวมแล้วบริษัทต่างๆ มักเลือกที่จะรอดูว่าเทคโนโลยีไหนจะเป็นผู้ชนะในตลาด หรือรอให้คู่แข่งปรับตัวก่อน การอาศัยแรงจูงใจจากตลาดเพียงอย่างเดียวจึงใช้เวลานานเกินไป หรืออาจไม่สำเร็จเลยก็ได้
ในไทยก็มีตัวอย่างความไม่สำเร็จของการพึ่งพาแต่ “มาตรการจูงใจ” มากมาย อาทิ การรณรงค์ให้ห้างค้าปลีกต่างๆ งดแจกถุงพลาสติกโดยสมัครใจ หรือนโยบายรัฐที่จ่ายค่าตอบแทน “อ้อยสด” ปีละหลายพันล้านบาท แต่ยังไม่สามารถลดระดับการเผาอ้อยได้ตามเป้า
ในทางกลับกัน หากเราใช้เพียงมาตรการบังคับโดยปราศจากมาตรการจูงใจ ภาคเอกชนก็มีแนวโน้มที่จะต้านทานมาตรการต่างๆ ตั้งแต่ต้น และอาจหาทางหลีกเลี่ยงกฎหมาย ล็อบบี้เพื่อขอผ่อนปรนกฎหมาย รวมถึงผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ก็อาจมองว่าตัวเองมีภาระเกินควรโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ เป็นต้น
ในเมื่อ “เศรษฐกิจเขียว” หมายถึงเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การบังคับให้ธุรกิจต้อง “แบกรับ” (internalize) ต้นทุนของการทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมาเป็น “ต้นทุนภายนอกเชิงลบ” (negative externalities) ที่ธุรกิจก่อแต่ไม่ต้องรับต้นทุน (เช่น สุขภาพคนไทยที่เสียหายจาก PM2.5 เกินขนาด) จึงเป็นการสร้าง “มาตรฐานขั้นต่ำ” (baseline) ที่จะสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียม เพราะผู้ประกอบการทุกรายต้องปฏิบัติตาม
การห้ามใช้สารเคมีอันตราย การกำหนดเพดานการปล่อยมลพิษ การเก็บภาษีคาร์บอนจากกิจกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง หรือการบังคับให้มีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนขั้นต่ำ เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างของ “มาตรการบังคับ” ที่จำเป็นต่อการสร้าง “เศรษฐกิจเขียว” ทั้งสิ้น
การสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมจากมาตรการบังคับเหล่านี้มีข้อดีที่ชัดเจน นั่นคือ เมื่อทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรฐานเดียวกันแล้ว ธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (โดยจ่ายต้นทุนสูงกว่าในการดูแล) ก็จะไม่เสียเปรียบคู่แข่งที่ทำลายสิ่งแวดล้อม (โดยไม่ต้องแบกรับต้นทุน) อีกต่อไป นอกจากนี้ กฎระเบียบที่ชัดเจนยังช่วยลดความไม่แน่นอน ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนการลงทุนระยะยาวได้อย่างมั่นใจ
โลกเรามีตัวอย่างมาตรการบังคับที่ประสบความสำเร็จมากมาย เช่น การห้ามใช้คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ตามพิธีสารมอนทรีออล ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการปกป้องชั้นโอโซนของโลก
ในระดับภูมิภาค มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานของสหภาพยุโรปที่เรียกว่า ข้อกำหนด Ecodesign Directive บังคับให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชิ้นที่ขายในยุโรปต้องมีประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ ข้อกำหนดนี้ส่งผลให้ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบันใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าแบบเก่าถึง 30-50% ช่วยประหยัดพลังงานให้ยุโรปได้ปีละกว่า 120,000 ล้านยูโร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้นับร้อยล้านตันต่อปี
ในประเทศจีน รัฐบาลใช้มาตรการบังคับ สั่งปิดเหมืองหินขนาดเล็กที่ไม่มีประสิทธิภาพ 1,000 แห่งในปี 2016 เพียงปีเดียว แม้จะเผชิญการต่อต้านจากผู้ประกอบการท้องถิ่น แต่มาตรการนี้ประสบความสำเร็จในการลดมลพิษทางอากาศ และเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานของประเทศ
นอกเหนือจากมาตรการบังคับแล้ว การใช้มาตรการจูงใจทางเศรษฐกิจควบคู่กันไป เช่น เครดิตภาษี เงินอุดหนุน ราคาคาร์บอน หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษี ก็มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้ภาคเอกชนเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่กฎหมายบังคับ ลงทุนในนวัตกรรมเขียว และแข่งขันกันเพื่อเป็นผู้นำในเศรษฐกิจเขียว
ในสหรัฐอเมริกา เครดิตภาษีที่เรียกว่า Investment Tax Credit (ITC) และ Production Tax Credit (PTC) สำหรับพลังงานหมุนเวียนมีบทบาทสำคัญในการขยายกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และลมจนเป็นแหล่งพลังงานราคาถูกที่สุดในหลายมลรัฐ ส่งผลให้ในปี 2023 พลังงานแสงอาทิตย์และลมคิดเป็นกว่า 70% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ทั้งหมดในสหรัฐ
นอกจากนี้ มาตรการจูงใจยังช่วยลดผลกระทบทางสังคม โดยเฉพาะกับกลุ่มเปราะบาง สอดคล้องกับหลัก “การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม” (Just Energy Transition: JET) ยกตัวอย่างเช่น การให้เงินอุดหนุนค่าไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์ หรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับการปรับปรุงกิจการ SMEs ให้ประหยัดพลังงาน จะช่วยให้คนตัวเล็กตัวน้อยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเขียวได้โดยไม่เป็นภาระทางการเงินมากเกินไป
กล่าวโดยสรุป การสร้าง “เศรษฐกิจเขียว” จะเกิดได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อนโยบายรัฐมีทั้งมาตรการบังคับและมาตรการจูงใจ มาตรการบังคับเป็นตัวกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำและสนามแข่งขันที่เท่าเทียม ขณะที่มาตรการจูงใจช่วยกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนานวัตกรรมเขียวที่ก้าวหน้ากว่ามาตรฐานขั้นต่ำ
ถึงเวลาแล้วที่ กกร. และทุกภาคส่วนในสังคมไทยจะเปลี่ยนทัศนคติเดิมๆ ที่เชื่อผิดๆ ว่ารัฐเพียงแต่ออกมาตรการจูงใจก็เพียงพอ และหันมาร่วมกันสนับสนุนร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด รวมถึงกลไกอื่นๆ ที่จะขับเคลื่อนทั้งมาตรการบังคับและมาตรการจูงใจ ไม่เบ้ไปด้านใดด้านหนึ่งเกินพอดี หรือที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ออกมาตรการจูงใจมาช่วยธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ใช้มาตรการบังคับกับผู้ประกอบการตัวเล็กตัวน้อย
ทั้งนี้ เพื่อที่เราจะได้สร้าง “เศรษฐกิจเขียว” เป็นหัวจักรใหม่ของเศรษฐกิจไทยได้อย่างแท้จริง โดยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หรือซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำให้เลวร้ายลงกว่าเดิม