
ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยในปี 2568 มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่แข็งแรงมากนัก จากตัวเลขยอดขายรายเดือนตลอดปีชี้ให้เห็นแนวโน้มทั้งการเติบโตและการหดตัวผสมกันในบางช่วง โดยเฉพาะไตรมาสแรกของปีตลาดรถยนต์รวมลดลงราว 6.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แม้ยอดขายในบางเดือนจะเติบโต เช่น เดือนกันยายนและตุลาคมที่ยอดขายรวมเพิ่มขึ้นเกือบ 24–25% เป็นตัวอย่างสัญญาณฟื้นตัวของตลาดช่วงปลายปี
ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของตลาด โดย โตโยต้า (Toyota) เจ้าพ่อตลาดรถยนต์บ้านเรา ยังคงยึดตำแหน่งผู้นำตลาดอย่างชัดเจนด้วยส่วนแบ่งสูงสุดเกือบ 38–39% ในหลายเดือน และยอดขายรวมเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ ถึงแม้บางช่วงยอดขายอาจผันผวนตามสภาพเศรษฐกิจและกลุ่มผลิตภัณฑ์
ในครึ่งปีแรกของปี 2568 ตลาดรถยนต์รวมมียอดขายประมาณ 302,694 คัน ซึ่งลดลงเล็กน้อย (−1.7%) เมื่อเทียบกับปี 2567 แต่ตลาด xEV (รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริด) กลับมีการเติบโตโดดเด่น โดยคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 44% ของยอดขายรวม และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เติบโตมากกว่า 50% ในครึ่งปีแรก
สำหรับภาพรวมทั้งปี ตลาดรถยนต์ทั้งประเทศคาดว่าน่าจะทำยอดขายอยู่ราว 600,000 คัน ซึ่งเป็นการกลับมาฟื้นตัวจากปี 2567 ที่มียอดขายลดลงมากถึงกว่า 26% เพราะปัจจัยด้านการเงินและกำลังซื้อที่อ่อนแอ
สำหรับการแข่งขันในตลาดรถยนต์ปีนี้ยังคงเข้มข้น โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์นั่งและรถเพื่อการพาณิชย์ที่มีความต้องการแตกต่างกันตามพฤติกรรมผู้บริโภค
โดยรถกระบะ (Pickup Truck) ยังคงเป็นสินค้าที่สำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ทั้งเพื่อการใช้งานส่วนบุคคลและเชิงพาณิชย์ แม้ยอดขายบางช่วงจะไม่โดดเด่นมากนัก แต่ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดสูง และรัฐบาลพยายามกระตุ้นผ่านมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นและสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยกู้
ในส่วนของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริด (xEV) ถือเป็นหนึ่งในดาวเด่นของตลาดรถยนต์ปีนี้ โดยเฉพาะรถ EV ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากยอดลงทะเบียนรถ EV ที่เกือบเทียบเท่ากับยอดขายทั้งปีย้อนหลังของปี 2567 และแรงสนับสนุนจากนโยบายของรัฐ เช่น โครงการ EV3.0 ที่ทำให้ยอดขายรถ EV ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ
แรงผลักดันของรถ EV มาจากหลายปัจจัย ได้แก่ ราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้บริโภคบางกลุ่ม การเพิ่มของรหัส HEV/BEV ในตัวเลขยอดขาย และการลงทุนจากค่ายจีน เช่น BYD และ Great Wall Motors หรือ GWM ที่เริ่มมีส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์ที่มียอดจองเป็นจำนวนมากในงานแสดงรถยนต์ใหญ่ ๆ (เช่น ที่ งานบางกอกมอเตอร์โชว์ และงานมอเตอร์เอ็กซ์โป)
แม้ค่ายรถแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง Toyota, Honda, และ Isuzu ยังครองตำแหน่งผู้นำตลาดโดยรวม แต่แบรนด์จีน เช่น BYD, MG, GWM (Great Wall Motors) และ Changan เริ่มสร้างโมเมนตัมที่แข็งแรงโดยเฉพาะในกลุ่มรถ EV และรถยนต์ขนาดเล็ก ราคาประหยัด ซึ่งเพิ่มการแข่งขันด้านราคาและนวัตกรรม
โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเติบโตตลาดรถยนต์ในประเทศปีนี้
1) เศรษฐกิจและการเข้าถึงสินเชื่อ
กำลังซื้อของผู้บริโภคไทยยังคงอ่อนแอ โดยเฉพาะการเข้าถึงสินเชื่อรถยนต์ที่ถูกจำกัดจากสถาบันการเงินเนื่องจากหนี้ครัวเรือนสูง ผลคือยอดขายรถยนต์ใหม่บางช่วงตกต่ำกว่าคาดการณ์ ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการค้ำประกันสินเชื่อและกระตุ้นยอดขายบางช่องทาง เช่น สำหรับรถกระบะ
2) นโยบายสนับสนุนรถ EV และการลงทุนจากต่างประเทศ
นโยบายปรับเกณฑ์สนับสนุนรถ EV ของไทยช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตนับยอดส่งออกและการผลิตในประเทศ เพิ่มความมั่นใจในการลงทุน โดยมีเงินลงทุนหลายพันล้านบาทจากผู้ผลิตใหญ่ เช่น BYD และ Mazda เพื่อผลิตรถ EV ภายในประเทศ มองไปยังตลาดอาเซียนและการส่งออก
3) แนวโน้มผู้บริโภคด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัย
ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย ทั้งระบบช่วยขับ ระบบความปลอดภัย และตัวเลือกการขับขี่ที่ประหยัดพลังงาน ส่งผลให้ รถไฮบริดและรถ EV เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์สันดาปแบบดั้งเดิม
สำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ในปี 2569 คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์โดยรวมยังคงฟื้นตัวแต่ค่อยเป็นค่อยไป
ตลาดรถยนต์ในไทยปี 2569 น่าจะยังคงเติบโตเชิงบวก โดยยอดขายรวมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากฐานที่ฟื้นตัวในปี 2568 แม้ว่าการฟื้นตัวจะค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคยังไม่แน่นอน แต่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากขึ้นและแรงหนุนจากรถ EV จะช่วยผลักดันยอดขายให้สูงขึ้นตลอดปี
ขณะที่ในปีหน้า การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าจะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
ในปี 2569 ตลาดรถ EV น่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องโดยสัดส่วนรถ EV ของยอดขายรวมคาดว่าจะสูงขึ้นมากกว่าปี 2568 จากการที่มาตรการสนับสนุนยังคงอยู่ และค่ายรถยนต์ต่างประเทศรวมถึงผู้เล่นจีนมีแผนลงทุนและขยายโมเดลใหม่เข้ามาในไทยมากขึ้น นอกจากนี้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้า จะช่วยสนับสนุนการใช้งานรถ EV ในวงกว้างยิ่งขึ้น
สำหรับการแข่งขันในตลาดรถยนต์บ้านเราปี 2569 จะไม่เพียงแต่เป็นการแข่งขันด้านราคา แต่การแข่งขันที่เข้มข้นยังรวมถึงคุณภาพสินค้า เทคโนโลยี ระบบความปลอดภัย และบริการหลังการขาย
ผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติจำเป็นต้องสร้างความแตกต่างในผลิตภัณฑ์เพื่อดึงดูดผู้บริโภคยุคใหม่ เนื่องจากโครงสร้างตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค และสภาพการแข่งขันได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้
1) ตลาดมีการแข่งขันสูงและสินค้ามีความใกล้เคียงกันมาก
ปัจจุบันตลาดรถยนต์ในบ้านเรามีผู้เล่นจำนวนมาก ทั้งแบรนด์ดั้งเดิมจากญี่ปุ่น ยุโรป และผู้ผลิตหน้าใหม่จากจีน โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รถยนต์หลายรุ่นมีสมรรถนะ ราคา และฟังก์ชันพื้นฐานใกล้เคียงกัน หากไม่มีจุดเด่นที่ชัดเจน ผู้บริโภคจะตัดสินใจจากราคาเพียงอย่างเดียว ซึ่งนำไปสู่การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและบั่นทอนกำไรของผู้ประกอบการ
การสร้างความแตกต่างจึงช่วยให้แบรนด์ หลีกเลี่ยงสงครามราคา และรักษาความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว
2) พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่เปลี่ยนจาก “ซื้อเพราะจำเป็น” เป็น “ซื้อเพราะคุณค่า”
ผู้บริโภครุ่นใหม่ไม่ได้มองรถยนต์เป็นเพียงพาหนะอีกต่อไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์และภาพลักษณ์ เช่น เทคโนโลยีอัจฉริยะและระบบเชื่อมต่อ (Connected Car), ระบบช่วยขับและความปลอดภัยขั้นสูง, ความประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และดีไซน์ที่สะท้อนตัวตนของผู้ใช้
ดังนั้น แบรนด์ที่สามารถสื่อสาร “คุณค่า” และ “ประสบการณ์การใช้งาน” ที่แตกต่าง จะมีโอกาสครองใจผู้บริโภคมากกว่าแบรนด์ที่เน้นขายเพียงตัวสินค้า
3) ผู้บริโภคมีข้อมูลมากขึ้นและเปรียบเทียบได้ง่าย
ยุคดิจิทัลทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูล รีวิว และเปรียบเทียบรถยนต์ได้อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ ไม่ว่าจะเป็นราคา สมรรถนะ ค่าใช้จ่ายระยะยาว หรือบริการหลังการขาย
หากผลิตภัณฑ์ไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจน ผู้บริโภคจะมองว่า “ไม่ต่างกัน” และเลือกแบรนด์ที่ให้ความคุ้มค่าที่สุดในมุมมองของตน
ความแตกต่างจึงเป็นเครื่องมือสร้างการจดจำแบรนด์ (Brand Differentiation) และลดความเสี่ยงในการถูกแทนที่
4) การแข่งขันไม่ได้จำกัดแค่ตัวรถ แต่รวมถึง “ระบบนิเวศ”
ตลาดรถยนต์ยุคใหม่แข่งขันกันทั้งระบบ เช่น บริการหลังการขายและการรับประกัน, แอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์อัปเดต, เครือข่ายสถานีชาร์จสำหรับรถ EV และแพ็กเกจทางการเงินและสินเชื่อ
ผู้ประกอบการที่สามารถสร้างความแตกต่างใน ประสบการณ์แบบครบวงจร (Customer Experience) จะได้เปรียบเหนือคู่แข่ง แม้ราคาจะสูงกว่าเล็กน้อยก็ตาม
5) การสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
ความแตกต่างที่ชัดเจนช่วยให้ผู้บริโภค จดจำและผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น นำไปสู่การซื้อซ้ำในอนาคต, การบอกต่อแบบปากต่อปาก และความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์ใหม่ของแบรนด์
ในตลาดที่ผู้บริโภคเปลี่ยนแบรนด์ได้ง่าย ความภักดีต่อแบรนด์จึงเป็นทรัพย์สินสำคัญที่ต้องสร้างผ่านความแตกต่าง ไม่ใช่แค่การลดราคา
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney