
ข่าวใหญ่ในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แทนที่ข่าวน้ำท่วมหาดใหญ่ ก็คงหนีไม่พ้น ข่าว “มหากาพย์โกงเงินเพื่อน” ของกลุ่มดาราเป็นเงินกว่าร้อยล้าน มองดูก็เหมือนข่าวมิจฉาชีพที่หลอกเงินชาวบ้านไปทั่ว แต่ครั้งนี้ที่แตกต่างและสะเทือนใจมาก ก็คือ คนที่หลอกกลับเป็นเพื่อนสนิทที่คบกันมากว่า 30 ปี และการหลอก ก็หลอกแบบไม่เกรงใจ คือ หลอกจนเพื่อนเกือบหมดตัว ไม่สนใจว่าเพื่อนจะลำบากอย่างไร
อ่านเจอข่าวนี้ ก็นึกถึงคำพูดของ ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา (ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยาและงานยุติธรรมจากมหาวิทยาลัยมหิดล) ที่เคยอ่านเจอว่า “คนที่หลอกเรา ส่วนใหญ่คือ คนที่รู้จัก เพราะถ้าไม่รู้จัก โอกาสจะหลอกเรา ยิ่งยาก” ยิ่งเป็นเพื่อนที่สนิท โอกาสที่เพื่อนจะหลอกเรา ก็ยิ่งมาก เพราะคำคำเดียว คือ “ไว้ใจ”
หากเป็นคนที่ไม่รู้จักชวนลงทุน เราอาจไม่ลงทุนด้วย กลัวเป็นมิจฉาชีพ แต่เมื่อเพื่อนหรือคนรู้จักสนิทชวนลงทุน มักเกิดความขัดแย้งทางจิตวิทยาที่ซับซ้อนระหว่าง ความน่าเชื่อถือทางอารมณ์ (Emotional Trust) ที่มีต่อเพื่อน กับ การวิเคราะห์การลงทุนอย่างมีเหตุผล (Rational Analysis) และแทบทุกครั้ง ความน่าเชื่อถือทางอารมณ์มักจะชนะการวิเคราะห์ด้วยเหตุผล
กรณีอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นบ่อยและประจำในชีวิตของพวกเราทุกคน ตัวอย่างง่าย ๆ คือ การให้เพื่อนยืมเงิน การค้ำประกันหนี้ให้เพื่อน เห็นมาตลอดว่าเกือบ 100% ยืมแล้วไม่คืน ค้ำประกันแล้วหนีหนี้ ให้เพื่อนที่เป็นผู้ค้ำประกันรับหนี้แทน ผมเองก็โดนเพื่อนหนีหนี้เช่นกัน สุดท้ายได้ข้อคิดกับตนเอง คือ
ถ้าเมื่อไหร่ เพื่อนขอยืมตังค์ หรือ ขอให้ค้ำประกันหนี้ เรามีทางเลือก 2 ทาง
แล้วเราจะทำอย่างไรดี กับกรณีเพื่อนยืมตังค์ ชวนลงทุน ฯลฯ เราก็ควรศึกษา หลักการทางจิตวิทยาทางการเงินและขั้นตอนการตัดสินใจเพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้ ดังนี้
1. ระบุและแยกอคติทางจิตวิทยา (Identify and Separate Biases)
การตัดสินใจลงทุนจากคำชวนของเพื่อนมักถูกแทรกแซงด้วยอคติ หรือ ความเชื่อทางอารมณ์ เหล่านี้:
สิ่งที่ต้องทำ: เราต้องตั้งสติและแยกแยะให้ออกว่าเรากำลังตัดสินใจบนอะไร ระหว่าง “มิตรภาพ” กับ “เหตุผลทางการเงิน”
ตัวอย่างเช่น เพื่อนชวนลงทุน ให้ผลตอบแทนสูง 6%/เดือน เราก็ควรพิจารณาความเป็นไปได้ของการลงทุน ความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนรอบด้าน ปรึกษาผู้รู้ ตรวจสอบเอกสารว่าถูกต้องหรือไม่ (อย่างกรณีที่เป็นข่าว มีการปลอมแปลงเอกสารด้วย) มากกว่าแค่ความเชื่อใจ หลายคนอาจบอกว่า “ลำบาก ยุ่งยาก” ก็เลือกเอานะ ลำบากตรวจสอบตอนเงินยังอยู่กับเรา หรือ ลำบากตอนเงินออกจากกระเป๋าเราไปแล้ว อย่างไหนดีกว่ากัน
2. กำหนดขอบเขตความสัมพันธ์ (Set Boundaries)
เมื่อแยกระหว่าง “อารมณ์” กับ “เหตุผล” แล้ว ก่อนตัดสินใจใด ๆ ให้เปลี่ยนบทบาทจาก "เพื่อนสนิท" เป็น "นักลงทุนที่กำลังประเมินโอกาส":
3. ประเมินโอกาสการลงทุนอย่างเป็นกลาง (Objective Evaluation)
ให้ประเมินการลงทุนนั้นเหมือนเป็นโอกาสที่เราพบเจอด้วยตัวเอง โดยใช้หลักการที่ปราศจากอคติ:
4. เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (Prepare for the Worst)
ยอมรับการสูญเสีย: หากการลงทุนล้มเหลว เราพร้อมที่จะสูญเสียเงินจำนวนนั้นโดยไม่โทษเพื่อนและไม่ทำลายมิตรภาพหรือไม่? หากคำตอบคือ "ไม่" ให้ปฏิเสธการลงทุนนั้น
การปฏิเสธที่สร้างสรรค์: หากเราตัดสินใจไม่ลงทุน เราสามารถปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า:
"โครงการนี้ไม่เข้ากับแผนการกระจายความเสี่ยง (Diversification) ของฉันในช่วงนี้"
"ฉันกำลังจำกัดการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้"
"ฉันทำ Due Diligence แล้ว แต่ความเสี่ยงดูสูงเกินกว่าที่ฉันยอมรับได้"
สรุปสุดท้าย “อย่าเชื่อใจใคร” ให้ แยกแยะ ความรู้สึกส่วนตัวออกจากข้อเท็จจริงทางการเงิน และใช้ กระบวนการตัดสินใจที่เป็นระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าการตัดสินใจลงทุนของเราตั้งอยู่บนความรอบคอบ ไม่ใช่ความเกรงใจหรือความสนิทสนมครับ
เขียนเรื่องนี้แล้ว ก็นึกถึงเพลง “คนที่ไว้ใจ...ร้ายที่สุด” ของ น้ำชา ชีรณัฐ โดยเฉพาะท่อนสุดท้าย
“คนที่ไว้ใจ สุดท้าย...ร้ายที่สุด! เธอคือคนที่ใจร้าย เธอคือคนที่ไว้ใจ สุดท้าย...คนที่ไว้ใจร้ายที่สุด”