คนที่ไว้ใจ ...ร้ายที่สุด

Experts pool

Columnist

สาธิต บวรสันติสุทธิ์

สาธิต บวรสันติสุทธิ์

Tag

คนที่ไว้ใจ ...ร้ายที่สุด

Date Time: 14 ธ.ค. 2568 08:00 น.

Video

เมื่อเด็ก ป.6 (11 ขวบ) สร้างรายได้ "หลักแสน" แซงหน้าคนทำงาน! l Money Secret EP.12

Summary

คนที่หลอกเรา ส่วนใหญ่คือ คนที่รู้จัก เพราะถ้าไม่รู้จัก โอกาสจะหลอกเรา ยิ่งยาก ยิ่งเป็นเพื่อนที่สนิท โอกาสที่เพื่อนจะหลอกเรา ก็ยิ่งมาก เพราะคำคำเดียว คือ “ไว้ใจ”

Latest


ข่าวใหญ่ในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แทนที่ข่าวน้ำท่วมหาดใหญ่ ก็คงหนีไม่พ้น ข่าว “มหากาพย์โกงเงินเพื่อน” ของกลุ่มดาราเป็นเงินกว่าร้อยล้าน มองดูก็เหมือนข่าวมิจฉาชีพที่หลอกเงินชาวบ้านไปทั่ว แต่ครั้งนี้ที่แตกต่างและสะเทือนใจมาก ก็คือ คนที่หลอกกลับเป็นเพื่อนสนิทที่คบกันมากว่า 30 ปี และการหลอก ก็หลอกแบบไม่เกรงใจ คือ หลอกจนเพื่อนเกือบหมดตัว ไม่สนใจว่าเพื่อนจะลำบากอย่างไร

อ่านเจอข่าวนี้ ก็นึกถึงคำพูดของ ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา (ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยาและงานยุติธรรมจากมหาวิทยาลัยมหิดล) ที่เคยอ่านเจอว่า “คนที่หลอกเรา ส่วนใหญ่คือ คนที่รู้จัก เพราะถ้าไม่รู้จัก โอกาสจะหลอกเรา ยิ่งยาก” ยิ่งเป็นเพื่อนที่สนิท โอกาสที่เพื่อนจะหลอกเรา ก็ยิ่งมาก เพราะคำคำเดียว คือ “ไว้ใจ”

หากเป็นคนที่ไม่รู้จักชวนลงทุน เราอาจไม่ลงทุนด้วย กลัวเป็นมิจฉาชีพ แต่เมื่อเพื่อนหรือคนรู้จักสนิทชวนลงทุน มักเกิดความขัดแย้งทางจิตวิทยาที่ซับซ้อนระหว่าง ความน่าเชื่อถือทางอารมณ์ (Emotional Trust) ที่มีต่อเพื่อน กับ การวิเคราะห์การลงทุนอย่างมีเหตุผล (Rational Analysis) และแทบทุกครั้ง ความน่าเชื่อถือทางอารมณ์มักจะชนะการวิเคราะห์ด้วยเหตุผล

กรณีอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นบ่อยและประจำในชีวิตของพวกเราทุกคน ตัวอย่างง่าย ๆ คือ การให้เพื่อนยืมเงิน การค้ำประกันหนี้ให้เพื่อน เห็นมาตลอดว่าเกือบ 100% ยืมแล้วไม่คืน ค้ำประกันแล้วหนีหนี้ ให้เพื่อนที่เป็นผู้ค้ำประกันรับหนี้แทน ผมเองก็โดนเพื่อนหนีหนี้เช่นกัน สุดท้ายได้ข้อคิดกับตนเอง คือ

ถ้าเมื่อไหร่ เพื่อนขอยืมตังค์ หรือ ขอให้ค้ำประกันหนี้ เรามีทางเลือก 2 ทาง

  1. เสียเพื่อน คือ ไม่ให้เพื่อนยืมตังค์ ไม่ค้ำประกันหนี้ให้เพื่อน อาจผิดใจเพื่อน เสียเพื่อน แต่ยังดี ไม่เสียเงิน
  2. เสียทั้งเงิน เสียทั้งเพื่อน คือ ให้เพื่อนยืมตังค์ หรือค้ำประกันหนี้ให้เพื่อน อาจรักษามิตรภาพเอาไว้ แต่สุดท้ายเพื่อนหนีหนี้ เราก็เสียเงิน และเสียเพื่อนอยู่ดี

แล้วเราจะทำอย่างไรดี กับกรณีเพื่อนยืมตังค์ ชวนลงทุน ฯลฯ เราก็ควรศึกษา หลักการทางจิตวิทยาทางการเงินและขั้นตอนการตัดสินใจเพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้ ดังนี้

1. ระบุและแยกอคติทางจิตวิทยา (Identify and Separate Biases)

การตัดสินใจลงทุนจากคำชวนของเพื่อนมักถูกแทรกแซงด้วยอคติ หรือ ความเชื่อทางอารมณ์ เหล่านี้:

  • อคติความใกล้ชิดเคยชิน (Familiarity Bias): ความรู้สึกสบายใจและความเชื่อมั่นในตัวบุคคลที่รู้จัก ทำให้มองข้ามข้อบกพร่องของโอกาสการลงทุนนั้นไป
  • อคติการเข้ากลุ่ม (Conformity/Bandwagon Bias): ความกลัวที่จะพลาดโอกาส (FOMO - Fear of Missing Out) หรือความรู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนที่กำลังทำสิ่งเดียวกัน
  • อคติการผูกมิตร (Affect Heuristic): การปล่อยให้ความรู้สึกเชิงบวกที่เรามีต่อเพื่อนมามีอิทธิพลเหนือการประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนอย่างเป็นกลาง

สิ่งที่ต้องทำ: เราต้องตั้งสติและแยกแยะให้ออกว่าเรากำลังตัดสินใจบนอะไร ระหว่าง “มิตรภาพ” กับ “เหตุผลทางการเงิน”

ตัวอย่างเช่น เพื่อนชวนลงทุน ให้ผลตอบแทนสูง 6%/เดือน เราก็ควรพิจารณาความเป็นไปได้ของการลงทุน ความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนรอบด้าน ปรึกษาผู้รู้ ตรวจสอบเอกสารว่าถูกต้องหรือไม่ (อย่างกรณีที่เป็นข่าว มีการปลอมแปลงเอกสารด้วย) มากกว่าแค่ความเชื่อใจ หลายคนอาจบอกว่า “ลำบาก ยุ่งยาก” ก็เลือกเอานะ ลำบากตรวจสอบตอนเงินยังอยู่กับเรา หรือ ลำบากตอนเงินออกจากกระเป๋าเราไปแล้ว อย่างไหนดีกว่ากัน

2. กำหนดขอบเขตความสัมพันธ์ (Set Boundaries)

เมื่อแยกระหว่าง “อารมณ์” กับ “เหตุผล” แล้ว ก่อนตัดสินใจใด ๆ ให้เปลี่ยนบทบาทจาก "เพื่อนสนิท" เป็น "นักลงทุนที่กำลังประเมินโอกาส":

  • แยกแยะบทบาท: ชี้แจงให้เพื่อนทราบว่าการประเมินครั้งนี้เป็นเรื่องของ "ธุรกิจ/การลงทุน" ไม่ใช่ "มิตรภาพ" หากการลงทุนนี้มีความเสี่ยงหรือล้มเหลว มันจะได้ไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ส่วนตัว
  • ขอข้อมูลอย่างเป็นทางการ: อย่าพอใจเพียงแค่การอธิบายปากเปล่า ขอเอกสารข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมด เช่น แผนธุรกิจ, ประมาณการทางการเงิน, เอกสารทางกฎหมาย, ข้อมูลความเสี่ยง ฯลฯ และควรตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารด้วย
  • พิจารณาแหล่งที่มา: ประเมินบทบาทของเพื่อนอย่างตรงไปตรงมา:
  • เพื่อนเป็นผู้เชี่ยวชาญ/ที่ปรึกษา (Expert/Advisor)? มีใบอนุญาตหรือประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องหรือไม่?
  • เพื่อนเป็นนักลงทุนร่วม (Co-Investor)? เพื่อนกำลังเสี่ยงเงินของตัวเองด้วยหรือไม่?
  • เพื่อนเป็นคนชวน/ผู้แนะนำ (Recruiter/Referral)? เพื่อนได้รับค่าตอบแทนจากการชวนเราหรือไม่? (นี่คือ Conflict of Interest ที่สำคัญ) ผมเองเคยถูกเพื่อนชวนลงทุนในแชร์ลูกโซ่ครั้งหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 6%/เดือน (เพื่อนเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่อยู่) ตอนแรกก็นึกว่าเพื่อนหวังดี มีอะไรดี ๆ ก็อยากบอก แต่เมื่อศึกษาดูก็พบว่า เพื่อนจะได้ค่าตอบแทน 10% ของเงินลงทุนที่ชักชวนมาได้ ก็เลยระมัดระวังมากขึ้น

3. ประเมินโอกาสการลงทุนอย่างเป็นกลาง (Objective Evaluation)

ให้ประเมินการลงทุนนั้นเหมือนเป็นโอกาสที่เราพบเจอด้วยตัวเอง โดยใช้หลักการที่ปราศจากอคติ:

  • ศึกษาความเสี่ยงและผลตอบแทน: ประเมินโอกาสขาดทุนและกำไรที่เป็นไปได้ เปรียบเทียบกับทางเลือกการลงทุนอื่น ๆ ที่เราสามารถหาได้ในตลาด (เช่น การลงทุนในกองทุนรวม หรือหุ้นปกติ)
  • การวิเคราะห์ Due Diligence (ตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ): ตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียด (เช่น ใครคือผู้บริหาร, โมเดลธุรกิจคืออะไร, เงินลงทุนถูกนำไปใช้อย่างไร, มีการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลหรือไม่)
  • ประเมินความเข้ากันได้กับพอร์ตของเรา: การลงทุนนี้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้และสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินของเราหรือไม่?
  • ถามคำถามที่ยาก: เช่น "เกิดอะไรขึ้นถ้าฉันต้องการถอนเงิน?", "ทางออกของโครงการนี้คืออะไร?", "ความเสี่ยงที่เลวร้ายที่สุดคืออะไร?"

4. เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (Prepare for the Worst)

ยอมรับการสูญเสีย: หากการลงทุนล้มเหลว เราพร้อมที่จะสูญเสียเงินจำนวนนั้นโดยไม่โทษเพื่อนและไม่ทำลายมิตรภาพหรือไม่? หากคำตอบคือ "ไม่" ให้ปฏิเสธการลงทุนนั้น

การปฏิเสธที่สร้างสรรค์: หากเราตัดสินใจไม่ลงทุน เราสามารถปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า:

"โครงการนี้ไม่เข้ากับแผนการกระจายความเสี่ยง (Diversification) ของฉันในช่วงนี้"

"ฉันกำลังจำกัดการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้"

"ฉันทำ Due Diligence แล้ว แต่ความเสี่ยงดูสูงเกินกว่าที่ฉันยอมรับได้"

สรุปสุดท้าย “อย่าเชื่อใจใคร” ให้ แยกแยะ ความรู้สึกส่วนตัวออกจากข้อเท็จจริงทางการเงิน และใช้ กระบวนการตัดสินใจที่เป็นระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าการตัดสินใจลงทุนของเราตั้งอยู่บนความรอบคอบ ไม่ใช่ความเกรงใจหรือความสนิทสนมครับ

เขียนเรื่องนี้แล้ว ก็นึกถึงเพลง “คนที่ไว้ใจ...ร้ายที่สุด” ของ น้ำชา ชีรณัฐ โดยเฉพาะท่อนสุดท้าย

“คนที่ไว้ใจ สุดท้าย...ร้ายที่สุด! เธอคือคนที่ใจร้าย เธอคือคนที่ไว้ใจ สุดท้าย...คนที่ไว้ใจร้ายที่สุด”


Author

สาธิต บวรสันติสุทธิ์

สาธิต บวรสันติสุทธิ์
นักวางแผนการเงิน CFP