
เมื่อรุ่นผู้ใหญ่รุ่นคุณพ่อคุณแม่ที่ทำธุรกิจครอบครัวมาสักระยะ เห็นลูกๆ เติบโต ก็คงอดคิดไม่ได้ว่า “เราต้องวางแผนสร้างลูกหลานอย่างไรให้รับช่วงต่อกิจการได้?” ทั้งจังหวะที่เหมาะสม ความสามารถ ชั่วโมงบิน และความพร้อมของลูกในการสานต่อกงสีให้ส่งไปได้สู่รุ่นหลาน
ความมั่งคั่งธุรกิจครอบครัว = ความมั่งคั่งด้านการเงิน + ความมั่งคั่งด้านจิตใจ
Family Business Wealth = Financial Wealth + Non-Financial (Emotional) Wealth
คำถามที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อแม่ทุกคนเสมอมาว่าทำอย่างไรดี เพราะฝั่งหนึ่งลูกหลานก็เติบโต ก็นับเป็นเวลาในการส่งต่อกิจการครอบครัว มรดกของที่บ้านให้ถูกสานต่อจากรุ่นสู่รุ่น แต่อีกฝั่งหนึ่งก็ “กลัว” “กังวล” จนไม่กล้าทำอะไร กลายเป็นกับดักกงสี ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วทางออกคืออะไร?
จากการให้คำปรึกษามามากกว่า 50 ธุรกิจครอบครัว (ตั้งแต่ SME จนไปถึงธุรกิจครอบครัวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) และวางแผนการสืบทอดหลายครอบครัว
จึงสามารถสรุปได้ว่า การส่งต่อ (Succession) เป็นเรื่องของ “กระบวนการ” การสร้างมากกว่าธรรมชาติคัดสรร (Process > Natural Selection) ดังนั้นแล้ว การสร้าง Next-Gen นั้นสามารถเริ่มได้ตอนนี้ประกอบกับมีกลยุทธ์ที่เหมาะสม ผ่าน Framework ที่ชื่อว่า Succession N-Action
Succession N-Action คือ Framework ที่ใช้เพื่อวางแผนการสืบทอดธุรกิจครอบครัว โดยเน้นการปฏิบัติ และสามารถพัฒนารุ่นถัดไปได้อย่างเป็นรูปธรรม มีกระบวนการที่ไม่ยัดเยียดเกินตัวแต่ไม่ช้าเกินพอดี โดยพื้นฐานของ Framework นี้มาจาก Framework การกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจครอบครัวในอนาคต ซึ่งประกอบไปด้วย 2 มิติหลักด้วยกัน นั่นก็คือมิติด้านความเสี่ยง (ของธุรกิจ) และมิติด้านองค์ความรู้ (ของครอบครัว)
จาก Framework ที่ปรากฏ จะเห็นได้ว่าการบริหารธุรกิจครอบครัวประกอบไปด้วย 3 ด้านด้วยกัน
แต่ในด้านสุดท้ายนั้นคือกลยุทธ์พัฒนาธุรกิจครอบครัว ซึ่งจะพากิจการไปอนาคตที่ไม่รู้และเสี่ยง (โดยมีผลตอบแทนที่ดี เป็น New S-Curve ของกลุ่มธุรกิจในอนาคต) หลายครอบครัวที่ให้ลูกหลานเข้ามาทำงานแต่กลับโยนไปให้ทำงานที่แม้แต่คนในบ้านยังไม่รู้ หรือบางทีรู้แต่กลับมีความเสี่ยง ผลสุดท้ายเมื่อ project ไม่เป็นไปตามแผน ก็กลับดุด่าว่ากล่าว หรือฝังใจว่าลูกไม่ได้เรื่องทำงานไม่สำเร็จ ทั้งที่จริงเรายังไม่ได้ลองให้เขาเริ่มจากล่างขึ้นบนด้วยซ้ำ
การบริหารธุรกิจครอบครัว ≠ กลยุทธ์พัฒนาธุรกิจ
ถ้าเราจะเริ่มใหม่ โดยผนวกเอากลยุทธ์ธุรกิจครอบครัวมาเชื่อมโยงกับการสร้างคนรุ่นถัดไป เราควรเริ่มโดยขั้นตอน N-Action เพื่อสั่งสมความสามารถ สั่งสมประสบการณ์ และที่สำคัญสั่งสมความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างรุ่นเด็กและรุ่นผู้ใหญ่
หากรุ่นเด็กยังเป็นเด็กจบใหม่ หรือยังไม่ได้มีประสบการณ์มากนัก การเริ่มต้นจากเรื่องที่เรารู้และไม่เสี่ยงนั้นจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะนั่นคือพื้นที่ของการเรียนรู้และเก็บประสบการณ์ (Learning & Experience Area) โดยเราสามารถสั่งสอนได้ หรือให้รุ่นเด็กลองฝึกฝนจนคุ้นมือ คุ้นชินกับระบบบริษัทจนกล้าไปสู่พื้นที่ถัดไป
เมื่อรุ่นเด็กเติบโตขึ้น มีความรู้ประสบการณ์มากขึ้น ครอบครัวสามารถขยับให้ไปลงมือทำในสิ่งที่รู้แต่เสี่ยงมากขึ้นได้ ไปลอง Lead Project การลงทุนบางอย่างในธุรกิจ ไปลองเป็นคนขยาย Line การผลิต หรือขยายโรงงาน/โรงแรม ภายในการดูแลของเรา ให้พวกเขาเจอปัญหาและพยายามแก้ไขปัญหาไปด้วยโดยเรายังช่วยได้เป็นพื้นที่ที่เรายังสามารถสอนได้ (Coaching Area) เลวร้ายที่สุดของกรณีนี้ เราก็ยังรู้วิธีบริหารจัดการวิกฤต กู้สถานการณ์ได้ และเป็นบทเรียนให้ลูกหลานเราเริ่มใหม่โดยไม่กล่าวโทษกัน
เมื่อรุ่นเด็กเริ่มบริหารงานเป็น ประสบการณ์เริ่มได้ มีองค์ความรู้ครอบคลุมขึ้น เราจะสามารถปรับเปลี่ยนให้พวกเขาไปลงทุนในสิ่งที่ครอบครัวไม่รู้ แต่ไม่เสี่ยงดู เป็นการบริหารความไม่รู้ของครอบครัวไปในตัว เช่น ลงทุนระบบบัญชี Online ใหม่ให้สามารถวิเคราะห์ทำ Report ได้รายเดือน หรือลงระบบ ERP ทำให้ Track Performance การทำงานได้อย่างเต็มที่
เรื่องพวกนี้ไม่เคยมีความเสี่ยงในเชิงธุรกิจแม้แต่น้อย (เว้นแต่เรื่องเงินทุน) เพราะทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ก็มีการลงทุนระบบเป็นประจำ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่เสี่ยงแค่ครอบครัวไม่รู้เท่านั้น และเมื่อพวกรุ่นเด็กทำสำเร็จนั้นจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเขาได้รับความไว้วางใจ (Trust Area) ในการเป็นผู้ริเริ่มทำในสิ่งที่ครอบครัวไม่เคยมีความรู้มาก่อน
ในพื้นที่สุดท้าย เมื่อรุ่นเด็กได้พิสูจน์ตนเองจนได้รับความเชื่อใจจากกงสีแล้วนั้น ครอบครัวสามารถวางตำแหน่งที่สำคัญต่อความเป็นไปของกงสีได้ นั่นคือการวางตำแหน่งให้ไปทำในสิ่งที่เสี่ยงและไม่รู้มาก่อนในธุรกิจครอบครัว เช่น การทดลองเปิดสินค้า/บริการใหม่ เอาสินค้าเดิมไปขายต่างประเทศ (Offshore) เปิดธุรกิจใหม่นอกจาก Comfort Zone เดิมของที่บ้าน (จากผลิต OEM เป็นมี Brand เอง) เป็นต้น
พื้นที่ตรงนี้ถือเป็นพื้นที่อันตราย ถ้าใครไม่พร้อม หรือคนในครอบครัวไม่ Trust การทำงานก็ไม่อาจได้รับแรงสนับสนุน (ด้านการเงิน) ซ้ำอาจเกิดแรงต้านทำให้การขยับไปพื้นที่ดังกล่าวไม่เกิดผลสำเร็จ แต่หากคนที่ไปได้รับความไว้วางใจจากครอบครัว สั่งสมประสบการณ์ทำงาน มีประสบการณ์แก้ไขสถานการณ์ได้ดี มีภาวะผู้นำ หรืออื่นใดที่ทำให้ครอบครัว Trust แล้วนั้น แรงสนับสนุนที่ครอบครัวจะมีให้ในพื้นที่ที่ครอบครัวไว้ใจและกระจายอำนาจให้ทำ (Trusted & Delegate Zone) พร้อมอัตราความสำเร็จย่อมสูงกว่าการดื้อดึงทำโดยไม่ได้รับความไว้วางใจจากครอบครัวอย่างแน่นอน
แต่แน่นอนว่าหลักการนี้อาจปรับเปลี่ยนได้ตามบริบทของรุ่นผู้ใหญ่ ครอบครัว และรุ่นเด็ก ในบางกรณีที่ลูกหลานของเรามีประสบการณ์ทำงานจากข้างนอกมาแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น ครอบครัวหนึ่งที่ได้ไปให้คำปรึกษา ลูกคนหนึ่ง (ชื่อสมมติ: นางสาว A) เป็นถึงระดับหัวหน้างานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (Head of Business Development / Project Leader) ขององค์กรข้ามชาติชื่อดังในอุตสาหกรรม FMCG (Top 5 ของโลก) และครอบครัวอยากที่จะให้กลับเข้ามาช่วยกิจการของครอบครัว แน่นอนว่ากงสีนั้นเลยได้วางตำแหน่ง บทบาท หน้าที่ให้เหมาะสม ไม่ใช่เริ่มจาก Learning & Experience Area แต่ด้วยคุณวุฒิ + วัยวุฒิ ที่ได้รับการพิสูจน์จากภายนอก
ประกอบกับกฎระเบียบของครอบครัวที่มีกฎเกณฑ์ในการรับสมาชิกครอบครัวเข้าทำงาน (ตามธรรมนูญครอบครัว) นางสาว A นั้นจึงได้อยู่ในตำแหน่ง Sales Director ควบ Operations Director ทำงานขึ้นตรงกับคุณพ่อ และมีลูกน้องพ่อเป็นทีมงานเข้ามาช่วยวางระบบการขาย + ระบบการทำงานภายในองค์กร (Workflow) ทั้งหมด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ครอบครัวยังไม่ได้ไว้ใจปล่อยให้นางสาว A ไปเปิดตลาดใหม่ซะทีเดียว เงื่อนไขที่ครอบครัวมอบให้คือขอให้ทำงานในองค์กรโดยมีคุณพ่อเป็นหัวหน้าสักระยะหนึ่งก่อนที่จะคุยเรื่องขยายกิจการใหม่โดยให้นางสาว A เข้าไปดูแลเต็มตัว เป็นการเรียนรู้งาน รู้วัฒนธรรม รู้พื้นฐานการทำงานในฝั่งของนางสาว A และเป็นการดูทรงจากฝั่งกงสีว่านางสาว A สามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้ขนาดได้ด้วยเช่นเดียวกัน เป็น Win-Win Solution
หรืออีกหนึ่งกรณีตัวอย่างของลูกคนหนึ่งที่เรียนจบปริญญาโทด้านการเงินมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในสหรัฐอเมริกา (ชื่อสมมติ: นาย B) อายุ 23 ปี นาย B เป็นคนหัวดีมาก เรียนเก่ง จบไว แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน มีแต่ปริญญา 2 ใบ และสังคมเพื่อนที่อยากทำ Startup และ Scale Fast แต่ด้วยปี 2020 เป็นปีที่เชื้อไวรัส COVID-19 ระบาด ครอบครัวและนาย B จึงตัดสินใจกลับไทยด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เมื่อกลับมาครอบครัวเลยให้นาย B เข้ามาทำงานในตำแหน่ง การเงินการบัญชี คอยช่วยคุณน้าดูเรื่องความถูกต้องของการเงินในธุรกิจ
นาย B มาช่วยธุรกิจครอบครัวได้ไม่ถึง 4 เดือน แต่เพราะเหตุที่ธุรกิจครอบครัวเขามีการใช้เงินอย่างไม่ถูกต้อง เงินธุรกิจปะปนกับเงินครอบครัว ทำสองบัญชี (บัญชีสองคือบัญชีกงสี) ทำให้นาย B เห็นตัวเงินกงสีที่เป็นเงินเย็นจำนวนมหาศาลกว่า 500 ล้าน นาย B ที่มีแนวคิดเปิดธุรกิจ Startup อยู่แล้ว ก็เลยคุยกับครอบครัวว่าขอเงินจำนวน 50 ล้านมาเปิดธุรกิจ Startup โดยให้ครอบครัวเป็นเหมือน Investor แม้ Business Plan จะมี แต่ด้วยความที่ครอบครัวยังไม่รู้ถึงความสามารถ ยังไม่เชื่อใจนาย B รวมถึงไม่ได้มี Process การสืบทอดธุรกิจครอบครัวอย่างเป็นรูปธรรม จึงได้แต่ตอบปฏิเสธไป
ด้วยแนวคิดที่แน่วแน่ของนาย B ทำให้เกิดการทักท้วง และทะเลาะภายในบ้านเป็นระยะเวลานาน ฝั่งนาย B ก็อ้างว่าเงินเย็นตั้งเยอะทำไมไม่เอามาใช้ ลงทุนกับลูกจะเป็นอะไรไป ฝั่งครอบครัวก็บอกเงินนี้คือเงินสำรอง ฉุกเฉิน เกิดกิจการลำบากจะได้มีเงินสดใช้จ่ายได้
สุดท้ายศึกนี้ยื้อมาซักพักนาย B ไม่พอใจอย่างมากหาว่าครอบครัวขี้งก กงสีหวงเงิน “กงสีมีแต่เรื่องน่ารำคาญ ติดนู่นติดนี่ เงินมีแต่ใช้ไม่ได้ น่าเบื่อ” - นาย B กล่าว และไม่กลับเข้าทำงานในกงสี (แต่ในท้ายที่สุดก็กลับเข้าทำงานในธุรกิจครอบครัวเพราะ COVID-19 ไม่มีใครรับเข้าทำงาน & ขาย Idea ธุรกิจกับ Investor ไม่ผ่าน และหลังจากที่ได้รับคำปรึกษาทำให้นาย B เข้าใจและพิสูจน์ตัวเองจนสามารถขยายธุรกิจให้กับกลุ่มธุรกิจครอบครัวได้ในท้ายที่สุด)
จากทั้ง 2 Case Studies จะเห็นได้ว่าเมื่อกงสีมีการวางแผนการส่งต่อธุรกิจครอบครัวกับคนรุ่นใหม่อย่างเป็นกระบวนการจะทำให้ทั้งฝั่งผู้ใหญ่ ครอบครัว และรุ่นเด็กเข้าใจถึงจุดเริ่ม บทพิสูจน์ และปลายทางที่จะเป็นในกงสีอย่างชัดเจน ไม่มีการเดาเกม ไม่คิดคาดหวังลมๆ แล้งๆ จนผิดใจกัน แต่บทสำคัญของครอบครัวก่อนการวางแผนส่งต่อกิจการคือการมีกฎระเบียบกงสีที่ชัดเจนโปร่งใสเรื่องของอนาคต การใช้เงิน การลงทุน รวมถึงเกณฑ์ Trust ว่าเท่าไรถึงจะเริ่มไว้เนื้อเชื่อใจกันภายในครอบครัว โดยหากเราสามารถวางกฎระเบียบเหล่านี้ได้นั้น กระบวนการส่งต่อกิจการผ่าน N-Action ก็จะไม่ใช่เรื่องที่สับสนและลำบากอีกต่อไป
การวางแผนสืบทอดธุรกิจครอบครัว สร้าง Next-Gen ให้พร้อมสำหรับการรับช่วงต่อต้องอาศัยกลยุทธ์ที่เหมาะสม และกฎระเบียบครอบครัวที่เอื้อต่อการพัฒนา ต่อยอดของคนรุ่นใหม่ และกิจการที่พร้อมจะแตกขยายออกไปในอนาคต รวมถึง
เด็กรุ่นใหม่ก็ต้องเข้าใจว่า