
มีข่าวในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าไม่นับเรื่อง “รถกระบะขวางรถพยาบาล” ก็คงจะเป็นเรื่อง “ทองดิ่งกว่า 6% ในวันเดียว” นี่แหละ และดังจนกลบข่าวรถกระบะไปหมด ก็ไม่น่าจะแปลกอะไร เพราะหลายต่อหลายคนซื้อทองตามกันเป็นทิวแถว จนเกิดปรากฏการณ์ที่เหล่าผู้มีเงินได้พากันไปนั่งเก็งกำไรซื้อขายทองในร้านทองแถวเยาวราช ซื้อเสร็จได้กระดาษมาแผ่นหนึ่ง ก็นั่งรอทองขึ้น ก็ขายออก ได้ค่ากับข้าวกลับบ้าน พอวันดีคืนดี ทองดิ่ง ค่ากับข้าวหายวับ
ไปหาสาเหตุที่ทองดิ่ง ก็พบนักวิเคราะห์ให้เหตุผลมากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็เหมือนกันเหมือนมาจากแหล่งข้อมูลเดียวกัน เช่น
1. นักลงทุนทำกำไร (Profit-taking) หลังจากทองพุ่งแรงมากในปีนี้ และขึ้นมาใกล้ระดับสูงสุดใหม่ ทำให้หลายคนเริ่ม “ขายทำกำไร” เมื่อมองว่าราคาขึ้นมาเยอะและเร็วเกินไปแล้ว
2. ค่า US ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น เพราะทองคำถูกซื้อขายเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อดอลลาร์แข็ง ทำให้ทองคำมีค่าแพงขึ้นสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ ส่งผลให้ความต้องการลดลง
นอกจากนี้ เมื่อผลตอบแทนจากตราสารหนี้ (yield) สูงขึ้น ทองซึ่งไม่ให้ผลตอบแทน (no yield) อาจถูกเทขายแล้วหันไปหาทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนได้มากกว่า
3. ความเสี่ยงด้านความไม่แน่นอน (Geopolitics / Trade) ลดลงบ้าง จากการที่ทรัมป์กับสีจิ้นผิงจะมีการพบปะกันในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะทองคำมักถูกมองเป็นสินทรัพย์ “ปลอดภัย” (safe-haven) เมื่อมีความเสี่ยง เช่น สงคราม–การค้า–เงินเฟ้อ แต่หากมีสัญญาณความเสี่ยงคลี่คลายบ้าง ความต้องการทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจะลดลง
สังเกตดู นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะแม่นในการให้เหตุผลกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ในทางจิตวิทยา เราเรียกปรากฏการณ์ “การให้เหตุผลกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว” ว่า Hindsight Bias (อคติรู้ล่วงหลัง)
Hindsight Bias (อคติรู้ล่วงหลัง) ตัวอย่างก็คือ กรณีการให้เหตุผลกับราคาทองที่ดิ่งลง ลักษณะของกรณีอย่างนี้ คือ หลังเหตุการณ์เกิดขึ้น เรามักคิดว่า “เรารู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ เพราะเหตุผล 1..2..3...” โดยสมองพยายามสร้าง “เรื่องราวที่สมเหตุสมผล” เพื่อให้ดูมีเหตุผล หรือ อย่างกรณีเรื่องใกล้ตัว อย่างเช่น หลังเห็นเพื่อนเราเลิกกับใครบางคน เราก็มักจะบอกว่า “จริง ๆ เราก็รู้ตั้งแต่แรกว่าคู่นี้น่าจะไปไม่รอด ”
แต่เพราะ“การลงทุน คือ การจ่ายเงินวันนี้เพื่อผลตอบแทนในอนาคต” สิ่งที่เราอยากได้ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์เมื่อวานเกิดจากอะไร เพราะเราแก้ไขอะไรไม่ได้ สิ่งที่เราอยากรู้มากกว่าคือ อนาคตจะเป็นอย่างไร อย่างเช่น วันนี้ ถ้ามีทองอยู่ ควรทำอย่างไร ซื้อเพิ่ม ถือไว้เฉย ๆ หรือ ขายออก เหตุผลเพราะอะไร? นักวิเคราะห์จะรู้ล่วงหน้าได้แม่นเหมือนรู้ล่วงหลังเปล่า?
จากประสบการณ์ส่วนตัว คำตอบคือ “ไม่แม่น” เหมือนอย่างที่ Warren Buffett ปรมาจารย์ด้านการลงทุนโลก กล่าวใน “กฎของเรือ Noah” โดยได้เทียบเคียงตำนานเรือ Noah ว่า
“อย่าเสียเวลาไปทำนายฝนจะตก น้ำจะท่วม เมื่อไร ไม่มีใครตอบได้ สำคัญก็คือว่า เมื่อตอนน้ำท่วมโลก เรามีเรือโนอาห์ไว้รึยัง”
แปลความหมายกฎของเรือ Noah ก็จะได้ว่า
“อย่าเสียเวลาไปทำนายข่าวต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น เราไม่มีทางทายถูก 100% สิ่งที่สำคัญ คือ เมื่อตอนวิกฤตของชีวิต เราเตรียมเรือโนอาห์สำหรับชีวิตตอนนั้นแล้วรึยัง”
ตัวอย่างเช่น เราไม่มีทางทายถูกว่า
สุดท้ายปัญหาระหว่าง สหรัฐฯ และ จีน จะจบอย่างไร
สุดท้าย ระหว่าง ทอง กับ Bitcoin อะไรจะเป็นกระแสหลักของโลก
หรือเอาใกล้บ้านหน่อย การเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึง ใครจะเป็นนายก
เมื่อทายไป ก็ ไม่ถูก Warren Buffett จึงมองเป็นเรื่องที่เสียเวลา ไม่คุ้มกับทรัพยากรที่ใช้ กับสิ่งที่ไม่แน่นอน สู้เอาเวลามาเตรียมพร้อมสำหรับความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นแน่ ๆ ในชีวิตเราจะดีกว่า อย่างเช่น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ถ้าเราแก่ เราเตรียมเรือ Noah สำหรับชีวิตวัยเกษียณแล้วหรือยัง
ถ้าเราป่วย เราเตรียมเรือ Noah สำหรับค่ารักษาพยาบาลแล้วหรือยัง
ถ้าเราตาย เราเตรียมเรือ Noah สำหรับคนที่เรารักแล้วหรือยัง
กฎของเรือ Noah ของ Warren Buffett สอดคล้องกับหลักของการบริหารความเสี่ยงข้อหนึ่งที่แบ่งความเสี่ยงออกเป็น 2 ประเภท คือ
ความเสี่ยงที่จะขาดทุน หรือก็คือ ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ที่เราลงทุน (Volatility risk)
ความเสี่ยงที่ชีวิตจะไม่บรรลุเป้าหมาย ปัจจุบันมีน้อยคนมากที่มองถึงความเสี่ยงที่เป้าหมาย (Shortfall risk)
ความเสี่ยงทั้ง 2 แบบนี้ มักจะตรงข้ามกัน
หากเราให้ความสำคัญกับความเสี่ยงที่จะขาดทุน อย่างเช่น กลัวขาดทุนเลยเก็บเงินไว้แต่บัญชีออมทรัพย์ยอมกินดอกเบี้ยสลึงเดียวต่อปี หรือ กลัวขาดทุนเลยคอยเฝ้าหน้าจอเก็งซื้อเก็งขายทุกวัน ฯลฯ ผลลัพธ์สุดท้าย คือ เงินออมเรามักจะลดน้อยลง หรือ เติบโตไม่ทันค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทำให้เป้าหมายทางการเงินของชีวิตอย่างเช่น มีเงินเก็บมากพอสำหรับใช้ยามเกษียณ หรือ มีเงินมากพอเผื่อค่ารักษาพยาบาล หรือ เก็บไว้เป็นมรดกลูก ฯลฯ ไม่บรรลุไปด้วย
หากเราให้ความสำคัญกับความเสี่ยงที่ชีวิตจะไม่บรรลุเป้าหมาย แปลว่า เรายอมรับที่ในระยะสั้น ๆ การลงทุนของเราอาจขาดทุนได้ แต่เมื่อมองในภาพระยะยาวแล้ว เงินออมของเราให้ผลตอบแทนที่ดีตามเป้าหมาย และทำให้เป้าหมายชีวิตของเรามีโอกาสเป็นจริงได้มากขึ้น
กฎของเรือ Noah ให้ความสำคัญกับ shortfall risk หรือความเสี่ยงที่ชีวิตไม่บรรลุเป้าหมาย โดยบริหารความเสี่ยงที่จะขาดทุน ด้วยการกระจายประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน เช่น หุ้น ทองคำ ตราสารหนี้ ฯลฯ และเน้นการลงทุนระยะยาวเป็นหลัก ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับระยะเวลาที่จะบรรลุเป้าหมาย และเลือกที่จะปรับพอร์ตตามความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเองเป็นหลักมากกว่าการปรับพอร์ตตามภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง