รถไฟฟ้า 40 บาทตลอดวัน กู้คะแนนเสียง?

ภายหลังจากที่รัฐบาลภายใต้การนำโดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศไว้ว่าหากฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จะประกาศยุบสภาทันทีในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ จากที่เคยประกาศไว้ว่าจะยุบสภาวันที่ 31 ม.ค.2569

ซึ่งผลจากการประกาศดังกล่าวทำให้ประชาชนหลายฝ่ายถึงกับลุ้นกันว่า หากยุบสภาหนีการอภิปรายเร็วขนาดนั้น รัฐบาลชุดนี้จะทันทำนโยบายอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน เพื่อเรียกคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้อีก

ดังนั้นทางผู้เขียนจึงขอพามาส่องนโยบายรัฐบาลที่นอกจากนโยบาย “คนละครึ่งพลัส” แล้ว นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ก็เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่หลาย ๆ คนที่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยเฉพาะมนุษย์ทำงานที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ต้องอาศัยรถไฟฟ้าในการเดินทางจากนอกเมืองเข้าเมือง ลุ้นกันตัวโก่งว่านโยบายนี้จะไปต่อหรือพอแค่นี้

จากที่เมื่อรัฐบาลเข้ามาทำงานช่วงแรก กระทรวงคมนาคม ที่มี “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม ก็แข็งขันประกาศกร้าวว่า จะไม่เดินหน้าโครงการทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่ว่า หากเดินหน้าโครงการต่อ ย่อมได้คะแนนเสียงจากคนในเมืองอย่างล้นหลามแน่ๆ จนกระทั่งมากลับลำหันมาเดินหน้าโครงการต่อ

แต่รอบนี้เปลี่ยนนโยบายใหม่แต่ภายใต้คอนเซ็ปต์เดิมเป็น “รถไฟฟ้า 40 บาทตลอดสาย” แต่จะดีเดย์ใช้ได้กับรถไฟฟ้า 2 สีเท่านั้น คือ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ – รังสิต และบางซื่อ - ตลิ่งชัน และ รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – คลองบางไผ่

โดยมาตรการนี้ระบุว่า จะดำเนินการเป็นระยะเวลาเพียง 1 ปี เท่านั้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2568 ถึง 30 พ.ย. 2569 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องหลังจากมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสายสิ้นสุดลงในวันที่ 30 พ.ย.2568

หมายความว่า “รถไฟฟ้า 40 บาทตลอดสาย” คนที่จะเดินทางต้องเดินทางด้วยรถไฟฟ้าในสีแดงและสีม่วงเท่านั้น และจ่ายค่าโดยสารเพียง 40 บาทตลอดสาย ตลอดทั้งวัน จะขึ้นกี่เที่ยว กี่ครั้งก็ได้ภายในหนึ่งวันในราคา 40 บาท

ส่วนประชาชนที่สงสัยว่าปกติเดินทางในระยะทางสั้นๆ เคยจ่ายค่าโดยสารไม่ถึง 40 บาท จะทำอย่างไร ซึ่งในเรื่องนี้มีคำตอบคือ หากขึ้นในระยะทางที่ไม่ถึงราคาค่าโดยสาร 40 บาทจะเสียตามระยะทางจริง ส่วนกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เสียค่าโดยสารไม่เกิน 30 บาทต่อวัน

ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเด็กที่มีส่วนสูงเกิน 90 ซม.แต่ไม่เกิน 120 ซม.เสียค่าโดยสาร 50% จากค่าโดยสารตามอัตราปกติ/เที่ยว ส่วนกลุ่มผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ใช้เงินจากวงเงินที่ได้รับการจัดสรร 750 บาทต่อเดือน ขณะที่กลุ่มผู้พิการ และเด็กที่ส่วนสูงไม่เกิน 90 ซม.ได้รับสิทธิ์ในการใช้บริการฟรี โดยกำหนดประเภทบัตรโดยสารเพื่อรองรับมาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวัน คือ บัตร EMV Contactless Card / MRT EMV / Mangmoom EMV

ในเรื่องนี้ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม กล่าวด้วยว่า ส่วนจะมีการต่อยอดให้ครอบคลุมในโครงการรถไฟฟ้าทุกสีทุกสายหรือไม่นั้น ทางกระทรวงคมนาคมได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมการขนส่งทางราง (ขร.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หารือร่วมกัน

เบื้องต้นมองว่าอาจจำเป็นต้องซื้อคืนโครงการรถไฟฟ้าทุกสีที่เป็นของเอกชนกลับเข้ามาเป็นของรัฐ และจัดทำ Single Ownership ให้ทุกโครงการรถไฟฟ้าอยู่ภายใต้การกำกับของ รฟม. เพื่อนำไปสู่การกำหนดระบบค่าโดยสารร่วม (Common Fare) หรือ ตั๋วร่วม ซึ่งแน่นอนว่า ยังไม่สามารถทำได้ทันในรัฐบาลนี้ หากมีการประกาศยุบสภาในวันที่ 12 ธ.ค.นี้

ซึ่งนอกจากนโยบายดังกล่าวจะเรียกคะแนนเสียงความนิยมจากคนที่อาศัยในเขต กทม.และปริมณฑลแล้ว ลองหันกลับมาดูอีกว่าในส่วนของกระทรวงคมนาคม นโยบายที่พอจะเรียกคะแนนมีอะไรอีกบ้าง

อีกทั้งเท่าที่ตรวจสอบพบว่า ไม่น่ามีโครงการอะไรที่กระตุ้นการลงทุนกับนักลงทุนได้เลย เพราะหากทำตามเงื่อนไขที่ว่ารัฐบาลจะยุบสภาในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ ก็เป็นการจบรายการลงทุนที่กระทรวงคมนาคมจะคลิกออฟ ต้องรอรัฐบาลใหม่ต่อไป

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney