
สถิติการแต่งงานลดลงตั้งแต่ปี 2563, การหย่าร้างเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ข้อมูลเกี่ยวกับการมีครอบครัวของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย สถิติย้อนหลัง 10 ปี มีแนวโน้มที่น่าสนใจดังนี้
สังเกตดูจะเห็นว่าสถิติการแต่งงานเริ่มมีแนวโน้มที่ลดลงตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา สวนทางกับสถิติการหย่าร้างที่เพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2564
โดยล่าสุดปี 2567 สถิติการหย่าคิดเป็น 56% ของการแต่งงานแล้ว ส่วนสาเหตุการหย่าร้างที่พบบ่อยทุกครั้งที่มีการวิจัย คือ การนอกใจ/มีชู้ จากสถิติพบว่าอัตราการนอกใจในประเทศไทยสูงถึงร้อยละ 56 ในปี 2567
เมื่อมีการนอกใจ แทบทุกกรณีก็จะมีการซื้อสิ่งของให้กับบุคคลที่สาม อาจเป็นฝั่งชาย หรือ ฝั่งหญิง ก็ได้ ในที่นี้ขออนุญาตยกตัวอย่างเป็นฝั่งหญิง (เมียน้อย) เพื่อความสะดวกในการอธิบายนะครับ
กรณีคำถามที่พบบ่อย ก็คือ กรณีผู้ชายมีเมียน้อย แล้วผู้ชายซื้ออสังหาริมทรัพย์ (บ้าน) ให้เมียน้อย เมียหลวงสามารถฟ้องคืนได้หรือไม่?
กฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ คือ สินสมรส
สินสมรสในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 ระบุว่าสินสมรสได้แก่ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส (รวมถึงดอกผลของสินส่วนตัว) และทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือซึ่งระบุว่าเป็นสินสมรส
นอกจากนี้ มาตรานี้ยังกำหนดหลักเกณฑ์ว่า หากมีข้อสงสัยว่าทรัพย์สินเป็นสินสมรสหรือไม่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส
สินสมรสตามมาตรา 1474 หมายถึง
ดังนั้น หากพิสูจน์ได้ว่า สามีได้ให้เงินหรือทรัพย์สินซึ่งเป็นสินสมรสแก่บุคคลอื่นโดยปราศจากความยินยอมจากคู่สมรส อาจเป็นเหตุที่ทำให้คู่สมรสที่ไม่ได้ให้ความยินยอมนั้น (เมียหลวง) มาขอเพิกถอนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบุคคลอื่นที่ได้รับเงินนั้นไปเป็นเมียน้อย
กรณีผู้ชายซื้ออสังหาริมทรัพย์ (บ้าน) ให้เมียน้อย เมียหลวงสามารถฟ้องคืนได้หรือไม่?
คำตอบคือ เมียหลวงฟ้องยึดคืนบ้านหลังที่สามีซื้อให้เมียน้อย สามารถทำได้ โดยฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ทรัพย์สิน (บ้าน) โดยอ้างว่าสามีได้นำ "สินสมรส" ไปให้โดยไม่ได้รับความยินยอม และทำให้เจ้าของกรรมสิทธิ์เดิม (เมียหลวง) เสียสิทธิ
อย่างไรก็ตาม เมียหลวงจะต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าการซื้อบ้านนั้นใช้เงินสินสมรส เพราะหากการซื้อบ้านนั้นสามีใช้เงินส่วนตัว (สินส่วนตัว) เมียหลวงจะไม่มีสิทธิยึดบ้านคืน ทั้งนี้ควรจ้างทนายความเพื่อดำเนินการฟ้องร้องคดี
ตัวอย่างหนึ่งที่เคยเจอมาก็คือ นายเอกับนางบีได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันตั้งแต่ปี 2540 โดยมีบุตรด้วยกันสองคน ต่อมาปี 2550 นางบีได้ทราบว่า นายเอสามีของตนมีเมียน้อย (นางซี) ตั้งแต่ปี 2543 และนายเอได้ให้เงินแก่นางซี 5 ล้านบาท เพื่อให้นางซีไปซื้ออาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง
เมื่อนางบีได้ทราบเรื่องดังกล่าวจึงได้ฟ้องนางซีเพื่อเรียกร้องเงินค่าซื้ออาคารพาณิชย์ 5 ล้านบาท
ในกรณีลักษณะนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 ได้กำหนดให้คู่สมรสฝ่ายหนึ่งฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมที่อีกฝ่ายทำโดยไม่ได้รับความยินยอมได้หากเป็นนิติกรรมที่กำหนดไว้ตามมาตรา 1476
กรณีที่เป็นเหตุให้นางบีมาฟ้องนางซีเป็นจำเลยในคดีนี้ คือการให้โดยเสน่หา ซึ่งเป็นกรณีหนึ่งที่ระบุในมาตรา 1476 ว่าต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่าย
มาตรา 1476 สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้
(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
(2) ก่อตั้งหรือกระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี
(4) ให้กู้ยืมเงิน
(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัวเพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา
(6) ประนีประนอมยอมความ
(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
(8) นำทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล
วรรคสอง การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง
เงินที่นายเอให้เป็นค่าซื้ออาคารพาณิชย์นั้น เพราะอาคารพาณิชย์นั้นปรากฏชื่อนางซีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ การให้เงินก้อนนี้จึงพอถือได้ว่าเป็นเงินที่นายเอให้นางซีไปโดยเสน่หา ซึ่งตามมาตรา 1476 กำหนดให้ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายก่อน เพราะไม่ใช่การให้เพื่อการกุศล การสังคม หรือหน้าที่ธรรมจรรยา แต่เมื่อนางบีไม่เคยให้การยินยอมเลย นางบีจึงมีสิทธิขอเพิกถอนได้
แต่ปัญหาของเงินค่าซื้ออาคารพาณิชย์ยังมีอีกว่าแม้นางบีจะมีสิทธิขอเพิกถอนได้ แต่นางบีจะมีสิทธิขอเพิกถอนได้ทั้งจำนวนหรือเพียงครึ่งเดียวด้วยเหตุที่นายเอไม่ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย กรณีนี้เมื่อเพิกถอนแล้วทรัพย์สินดังกล่าวจะกลับไปอยู่ในกองทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสระหว่างนายเอกับนางบี การใช้สิทธิของนางบีเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนคืน กรรมสิทธิ์นี้ย่อมมีอยู่ในทรัพย์สินทั้งจำนวน การเพิกถอนจึงสามารถเรียกร้องเอาเงินทั้งจำนวนคืนได้เช่นกัน
ดังนั้น การเป็นบุคคลที่สามนอกจากเสียสิทธิในสังคมแล้ว ยังอาจเสียสิทธิในทรัพย์สินที่ได้มาด้วย
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https:// www.facebook.com/ThairathMoney